วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

การแต่งกายในยุคสมัยต่างๆของไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย - ปัจจุบัน


การแต่งกายของคนไทยสมัยสุโขทัย - ปัจจุบัน

            ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติที่เป็นของตนเองมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะไทย มารยาทไทย ภาษาไทย อาหารไทย และชุดประจำชาติไทย
           สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีคุณค่า มีความงดงามบ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งความเป็น "ไทย" ที่นำความภาคภูมิใจมาสู่คนในชาติ
           การแต่งกายของไทยโดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ซึ่งมีอายุยาวนานมากกว่า 200 ปีนั้น ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ
           นับตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลาง ยุคเริ่มการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ยุค "มาลานำไทย" และ จนปัจจุบัน "ยุคแห่งเทคโนโลยีข่าวสาร"
           แต่ละยุคสมัยล้วนมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นของตนเองซึ่งไม่อาจสรุปได้ว่า แบบใดยุคใดจะดีกว่า หรือ ดีที่สุด เพราะวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม ล้วนต้องมีการปรับเปลี่ยนบูรณาการไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคมแล้วแต่สมาชิกของสังคมจะคัดสรรสิ่งที่พอเหมาะพอควรสำหรับตน พอควรแก่โอกาส สถานที่และกาลเทศะ

          การแต่งกายของคนไทย โดย นายสมบัติ พลายน้อย 
          
            เรื่องการแต่งกายของคนไทยในสมัยโบราณไม่มีจดหมายเหตุบันทึกไว้เป็นหลักฐาน การเขียนประวัติการแต่งกายตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงขาดหลักฐานที่ชัดเจน ได้แต่ สันนิษฐานจากโบราณวัตถุที่ทำเป็นรูปเทวดาและมนุษย์ในสมัยนั้นๆ   แล้วคาดว่าการแต่งกายของคนไทยในสมัยดังกล่าวคงจะเป็นเช่นนั้น

           หนังสือสมุดภาพแสดงเครื่องแต่งกายตามสมัยประวัติศาสตร์และ โบราณคดีของกรมศิลปากรได้สรุปลักษณะการแต่งกายของชาวสุโขทัยไว้ดังต่อไปนี้

           "การแต่งกายสตรี ส่วนมากนิยมนุ่งผ้ายาวครึ่งแข้ง รัดกลีบซับซ้อนมากชั้น มีเข็มขัดขนาดใหญ่คาดทับ ประดับด้วยลวดลายละเอียดมาก ทิ้งชายผ้าเป็นกาบขนาดใหญ่ ตรงด้านหน้าหรือยักเยื้องไปทางด้านข้าง บุคคลธรรมดาทั้งชายและหญิงมักนิยมนุ่งผ้ากระโจงเบน หวีผมแสกยาวประบ่า มีผ้ารัดต้นคอ ผู้หญิงธรรมดามีผ้าแถบคาดอก ใส่กำไลข้อมือ รัดแขนและกำไลข้อเท้ากรองคอทำเป็นลายหยักโดยรอบ
          ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย การนุ่งผ้าเท่าที่ปรากฏหลักฐานในตุ๊กตาสังคโลก และภาพลายเส้นบนแผ่นศิลาวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย มักนิยมมีชายพกด้านหน้า ยาวใหญ่ออกมามาก ทรงผมผู้ชายเกล้าสูงเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ มีเครื่องประดับต่างๆ"

          ไม่มีผู้ใดได้บันทึกเอกสารที่กล่าวถึงการแต่งกายสมัยสุโขทัยไว้ จึงจำต้องสันนิษฐานจากรูปปั้นรูปจารึกเท่าที่มีอยู่ ซึ่งอาจไม่ตรงตามความจริงทั้งหมดก็ได้ ส่วนในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเอกสารทั้งของไทยและของต่างประเทศ  บันทึกว้หลายแห่ง และมีจิตรกรรมเขียนไว้มาก ทำให้หลักฐานเรื่องการแต่งกายสมัยอยุธยาค่อนข้างจะสมบูรณ์

           ตามจดหมายเหตุของเชวาลิเอร์ เดอ ฟอร์บังกล่าวถึงขุนนางไทยว่า "นุ่งผ้าพื้นคลุมตั้งแต่สะเอวลงไปครึ่งน่อง ใส่เสื้อมัสลินแขนสั้น"

          ในจดหมายเหตุของโยส เซาเต็น พ่อค้าชาวฮอลันดาในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าประสาททอง กล่าวถึงการแต่งกายละเอียดกว่าของเชวาลิเอร์ เดอ ฟอร์บัง คือกล่าวว่า "ทั้งหญิงชายแต่งตัวด้วยผ้าผ่อนน้อยชิ้น เพราะประเทศนี้เป็นประเทศร้อน เขาชอบผ้าสีต่างๆ นุ่งสำหรับส่วนล่างของร่างกาย ส่วนบนนั้นชายใส่เสื้อชั้นในแขนครึ่งท่อน ส่วนหญิงนั้นมีผ้าบางๆ พาดไหล่หรือปิดหน้าอก บนศีรษะมักจะมีปิ่นทองปักผมไว้และสวมแหวนทองที่นิ้วมือ การแต่งกายเช่นนี้แต่งด้วยกันทั้งคนจนคนมี จึงยากที่จะดูว่าใครรวยใครจน นอกจากจะรู้ราคาชนิดผ้าที่นุ่งห่มนั้น" (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๖ และ ๘๐)
          ในบรรดาชาวต่างประเทศที่เข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึก  ถึงเรื่องการแต่งกายของคนไทยไว้มากกว่าคนอื่นๆ ดังปรากฏในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ (ฉบับสันต์โกมลบุตรแปล) ต่อไปนี้

          "ลางครั้งที่ไม่ใช้ผ้าลายเขียนนุ่ง ก็ใช้ชิ้นผ้าไหมเกลี้ยงๆ บ้าง หรือทอที่ริมเป็นลายทองลายเงินบ้าง

          ฝ่ายพวกอำมาตย์หรือขุนนางนั้นนอกจากนุ่งผ้าแล้ว ยังสวมเสื้อครุยผ้ามัสลินอีกตัวหนึ่ง ใช้เหมือนเสื้อชั้นนอกหรือเสื้อคลุม (ถึงเข่า) เขาจะเปลื้องมันออก แล้วม้วนพันเข้าไว้กับบั้นเอว เมื่อเข้าไปหาขุนนางผู้ใหญ่ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าตน เป็นการแสดงว่าเขาเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่ท่านผู้ใหญ่จะบัญชาให้ไปไหนมาไหนได้ดังใจเดี๋ยวนั้น...เสื้อครุยนี้ไม่มีคอเสื้อตั้งขึ้นไปและแหวกเปิดทางด้านหน้า โดยผู้แต่งมิได้สนใจที่จะกระชับชายให้ปรกกัน เพื่อปิดหน้าท้องของตนแต่ประการใด แขนเสื้อนั้นยาวทอดลงมาเกือบถึงข้อมือ กว้างรอบ ๒ ฟุตโดยรอบ ไม่เห็นถกแขนเสื้อตอนต้นแขนหรือปลายแขนอย่างใด อนึ่ง ตัวเสื้อครุยนั้นยังแคบมาก กระทั่งไม่สามารถผ่านลงและคลุมผ้านุ่งให้มิดชิดได้ คงเป็นรอยกลีบซ้อนกันพับอยู่กับบั้นเอวฉะนั้น" 


สมัยสุโขทัย

   ที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัยเจริญขึ้นไปบนดินแดนของ อาณาจักรลพบุรี ลักษณะ การแต่งกายของ ชายหญิง สมัยนี้ จึงปฏิรูปมาจากลพบุรี เป็นส่วนใหญ่ การแต่งกาย ของชาวสุโขทัยในชุดนี้ ดำเนินเรื่อง ตามจารึกหลักที่หนึ่งที่กล่าวว่า

“1214 ศก.ปีมะโรงพ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ เมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลนี้ได้สิบสี่เข้า จึงให้ช่างฟันขะดาร หินตั้งหว่างกลาง ไม้ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนออกแปดวัน ฝูงปู่ครูเถรมหาเถรขึ้นนั่ง เหนือขะดารนี้สวดธรรมแก่อุบาสกฝูง ท่วยจำศีลมิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ขึ้นนั่ง เหนือขะดารหิน ให้ฝูงทวยลูกเจ้า ลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมืองกัน วันเดือนดับ เดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือก กระพัดลยาง เทียรย่อม ทองงานซ้ายขวา ชื่อ รูจาศรี พ่อขุนรามคำแหง ขึ้นขี่ ไปนบพระอรัญญิกแล้วเข้ามา”
     การแต่งกายสตรีส่วนมากนิยมนุ่งผ้ายาวครึ่งแข้ง รัดกลีบซับซ้อนมากชั้นมีเข็มขัด ขนาดใหญ่คาดทับ ประดับ ด้วย ลวดลายละเอียดมาก ทิ้งชายผ้าเป็นกาบ ขนาดใหญ่ ตรงด้านหน้าหรือยักเยื้องไปทางด้านข้าง บุคคลธรรมดาทั้ง ชายและหญิง มักนิยม นุ่งผ้าโจงกระเบน หวีผมแสกยาวประบ่ามีผ้ารัดต้นคอ ผู้หญิงธรรมดามีผ้าแถบคาดอก ใส่กำไลข้อมือรัดแขน และกำไลข้อเท้ากรองคอทำเป็นสายหยักโดยรอบ


การแต่งกายสมัยสุโขทัย


     การแต่งกายไทยสมัยสุโขทัยจากจดหมายเหตุจีน ทำให้ทราบว่า ราชอาณาจักรไทยนั้นตั้งแต่สมัยสุโขทัย ไทยและจีนได้มีการติดต่อกันอย่างเป็นทางการ โดยมีการส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีซึ่งกันและกัน เป็นจำนวนหลายครั้งและมีการแลกเปลี่ยนเครื่องบรรณาการเป็นจำนวนมาก และพระเจ้าหงอู่ก็ได้พระราชทานผ้าไหมหลายม้วนมาถวายกษัตริย์ไทย ในสมัยพระบรมราชาธิราชที่ 1

จากบันทึกและหลักฐานอื่น ๆ ทำให้ทราบว่า สมัยสุโขทัย ผ้าที่มีค่าคือ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้ากำมะหยี่ ผ้าจีวร ผ้ากาสาวพัสตร์ ผ้าสังฆาฏิ ผ้าขาวแก้ว และรองลงมาคือ ผ้าที่ทอด้วยด้ายหรือฝ้าย มีการย้อมเป็นสีต่าง ๆ เรียกว่า ผ้าห้าสี คงได้แก่ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว และสีเหลือง เรียกว่า ผ้าเบญจรงค์

อย่างไรก็ดี ถึงคนไทยเราจะทอผ้าได้เอง และปรากฏว่าวัฒนธรรมการทอผ้าของสุโขทัยได้เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากชาวสุโขทัยอาจจะซื้อขายแลกเปลี่ยนผ้าไหมกับจีนแล้ว เวลาที่ไทยส่งทูตไปเฝ้าพระจักรพรรดิจีน หรือพระจักรพรรดิจีนส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี ก็มักจะสั่งเครื่องราชบรรณาการมาตอบแทน ซึ่งจะมีผ้าร่วมอยู่ด้วยอย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นผ้าแพร และจะส่งมาเป็นร้อย ๆ ม้วน แพร่นี้มีหลายชนิด แต่ที่เป็นเครื่องราชบรรณาการมักเป็นแพรหมังตึ้ง (แพรยกดอก)

นอกจากนี้มีการนำผ้ามาตกแต่งบ้านเรือน ทำหมอนนั่ง หมอนนอน ฟูก ธงทิว สัปทน ม่าน ในการทำบุญจะมีผ้าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง โดยถวายเป็นจีวรบ้าง ผ้าสบงบ้าง ผ้าเช็ดหน้าบ้าง ถวายเป็นกองก็มี เป็นผืน ๆ ก็มี และที่น่าสนใจคือ จากจารึกหลักที่ 14 กล่าวถึงการถวายผ้าเบงจตีแก่พระสงฆ์ใช้เป็นอาสนะ ผ้าเบงจตีนี้เป็นผ้าลายจากอินเดียชนิดหนึ่ง นอกจากนี้มีการถวายผ้าแพรสำหรับสอดกากะเยีย เพื่อใช้เป็นที่ตั้งรองพระธรรมคัมภีร์ใบลานในเวลาอ่านหนังสือต่างโต๊ะเล็กในปัจจุบัน หรือนำมาทำผ้าสมุดชายปัก สำหรับรองพระคัมภีร์เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก เป็นต้น

วัฒนธรรมในด้านการแต่งกาย
การแต่งกายเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความเจริญของชนแต่ละชาติ อาณาจักรสุโขทัยมีความรุ่งเรือง ดังนั้นผู้คนก็ย่อมมีการนุ่งห่ม ตกแต่งร่างกายด้วยผ้าแพรพรรณงดงาม มีวัฒนธรรมการแต่งกายเป็นของตนเอง

การแต่งกายของคนสมัยสุโขทัยนั้น สามารถศึกษาได้จากศิลาจารึก และศิลปะโบราณวัตถุ เช่น ตุ๊กตาสังคโลก ประติมากรรม ภาพปูนปั้นที่ประดับอยู่ตามโบราณสถาน ภาพลายเส้นทั้งที่ปรากฏอยู่บนรอยพระพุทธบาทกับบนแผ่นศิลาเล่าเรื่องชาดกต่างๆ ซึ่งพบที่วัดศรีชุม ทั้งยังอาจศึกษาได้จากเอกสารหรือจดหมายเหตุของประเทศข้างเคียง และของชาวต่างชาติที่เดินทางมาในระยะเวลาดังกล่าว ที่ได้บันทึกกล่าวถึงไว้ในสมัยนั้นได้อีกด้วย และการแต่งกายนี้สามารถศึกษาถึงรายละเอียดได้ ตั้งแต่ทรงผม ผ้านุ่ง เสื้อ ผ้าห่ม เครื่องประดับ และเครื่องหอม
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


รูปปูนปั้นจากวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เป็นภาพพระพุทธประวัติ
ตอนพระนางสิริมหามายาประสูติเจ้าชายสิทธัตถะ แสดงการแต่งกายของสตรีชั้นสูงสมัยสุโขทัย

การแต่งกายของผู้หญิง : ทรงผมจากการศึกษารูปแบบงานประติมากรรมของสมัยสุโขทัย พบว่า ผู้หญิงสมัยสุโขทัยทำทรงผมหลายแบบ คือไว้ผมยาวเกล้าเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ มีพวงดอกไม้หรือพวงมาลัยสวมรอบมวย แบบหนึ่ง หรือไว้ผมแสกกลางรวบผมไว้ท้ายทอย มีเกี้ยวหรือห่วงกลมคล้องตรงที่รวบ แบบหนึ่ง หรือเกล้าเป็นมวยไว้กลางหลังศีรษะเหนือท้ายทอยขึ้นมา ถ้าเป็นสตรีสูงศักดิ์อาจประดับศีรษะด้วยลอมพอก กรอบพักตร์หรือมงกุฎ และการไว้ผมนี้จากหนังสือไตรภูมิพระร่วง และจากหนังสือเรื่องนางนพมาศ จึงเป็นอันว่าผู้หญิงสุโขทัยไว้ผมยาวประบ่าด้วยเช่นกัน ส่วนที่ไว้ผมยาวเกล้ามวยแล้วนิยมตกแต่งด้วยช้องผม และเสียบแซมด้วยช่อดอกไม้ที่เรียกว่า ผกามาศผกาเกสร

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


ภาพลายเส้นจากวัดศรีชุม แสดงการแต่งกายและการใช้เครื่องประดับของชนชั้นสูง



Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ภาพลายเส้นจากวัดศรีชุม แสดงการแต่งกายของบุรุษสามัญชน สมัยสุโขทัย
เครื่องนุ่งห่มเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงสมัยสุโขทัย พบว่านุ่งผ้าซิ่นหรือผ้าถุงยาวกรอมถึงข้อเท้า ผ้านุ่งทอจากทั้งฝ้าย ไหม มีลวดลายดอกสีต่าง ๆ เช่น ดำ แดง ขาว เหลือง และเขียว ผ้าที่ใช้มีหลายชนิด เป็นต้นว่า สุพรรณพสตร์ ลิจิตพัสตร์ จินะกะพัสตร์ ตะเลงพัสตร์ เทวครี ผ้ารัตครี และเจตครี ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าลักษณะของผ้าแต่ละชนิดนั้นเป็นแบบใด แต่น่าจะเป็นผ้าที่ทอเอง และย้อมสีต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ และมีบางชนิดที่นำมาจากต่างประเทศเช่น จากอินเดีย และจีน การนุ่งผ้าซิ่นนั้นเห็นว่าตรงเอวหรือต่ำจากเอวลงมาเล็กน้อย ประดับด้วยผ้ามีรอยจีบคลุมห้อยปล่อยชายลงมาสองชาย ปิดทับหัวเข็มขัดที่สวยงามไว้ สำหรับสตรีที่สูงศักดิ์ เข็มขัดนี้มักนิยมทำเป็นลายประจำยามมีพวงอุบะห้อยเป็นแนว แต่ถ้าเป็นสามัญชนมีทั้งใช้เข็มขัด และใช้ชายผ้า ตรงเอวผูกมัดกันเอง เป็นแบบเหน็บชายพก สตรีสามัญที่แต่งงานแล้วมักไม่สวมเสื้อแต่มีผ้าพันรัดอก สตรีชั้นสูงและสตรีที่ยังไม่แต่งงานจะสวมเสื้อรัดรูป แขนทรงกระบอกและห่มผ้าสไบ เมื่อไปงานบุญหรืองานพิธี หลักฐานการใช้เสื้อนี้มาปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วง นอกจากนี้ยังทราบว่ามีการแต่งตัวหลายแบบด้วยเหมือนกันจากหนังสือนางนพมาศ
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
 Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ประติมากรรมสังคโลก รูปสตรีชั้นสูง นุ่งผ้านุ่งยาว กรอมข้อเท้า ด้านหน้าจีบคล้ายผ้าจีบหน้านาง คาดปั้นเหน่ง ดึงชายผ้ายาวลงมาทับหัวปั้นเหน่ง สวมเสื้อแขนยาว สังวาล มงกุฏ กุณฑล พาหุรัด และกำไลข้อพระกร จัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร

การแต่งกายของบุรุษ
ทรงผม
 ผู้ชายสมัยสุโขทัย ถ้าเป็นพระมหากษัตริย์หรือเจ้านาย จะไว้ผมยาวมุ่นมวยไว้กลางศีรษะ มีปิ่นปักหรือใช้ผ้าพันหรือโพก หรือประดับศีรษะด้วยมงกุฎ ที่มียอดแหลมหรือกรอบพักตร์ หรือทำผมแสกกลางรวบผมไว้ตรงท้ายทอย มีห่วงหรือเกี้ยวคล้อง

สำหรับผู้ชายสามัญชนทรงผมมักไว้ผมยาว แสกรวบไว้ที่ท้ายทอย มีห่วงกลม ๆ คล้องตรงที่รวบ หรือไม่ก็ไว้ผมสั้น หรือเกล้าผมเป็นมวยเหนือศีรษะ มีผ้าโพก สำหรับพราหมณ์ หรือนักบวชปกติจะเกล้ามวย ถ้าเป็นเชื้อสายตระกูลพราหมณ์จะมีดอกไม้ทอง ส นอบเกล้า จุฑาทอง ประวิตรทอง ธุรำทองเพิ่มขึ้น และเมื่อจะทำพิธีอันเป็นมงคลจะแต่งผมด้วยการใช้ใบชุมแสง แซมช้อง ผมทัดใบพฤกษ์เวฬู หากประกอบพิธีพรุณศาสตร์จะสยายมวยผมเพื่ออ่านโองการ ถ้าเป็นทหารจะสวมหมวกทรงกลม ด้านหลังหมวกมีชายผ้าจากตัวหมวกห้อยยาวลงไปถึงต้นคอ ซึ่งเรียกว่า หมวกทรงประพาส มีหมวกอีกแบบหนึ่งคือ หมวกชีโบ ที่มีรูปคล้ายฝาชี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กุบ”

ส่วนเด็กนั้นสามารถศึกษาจากตุ๊กตาสังคโลก พบว่ามีการไว้ผมจุกมีปิ่นปักหรือผ้าพัน เด็กเล็ก ๆ โดยทั่วไปคงไม่สวมอะไรเลยแต่ในงานประเพณีหรือฤดูหนาวจะนุ่งห่มคล้ายผู้ใหญ่ แต่เด็กโตมีการแต่งกาย เด็กชายก็คงจะนุ่งโจงกระเบนหรือกางเกง
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ประติมากรรมสังคโลกรูปสตรีหลังค่อมถือคนทีน้ำ ไว้ผมยาวรวบตึงไปด้านหลัง
เกล้าเป็นมุ่นมวยต่ำเหนือท้ายทอย นุ่งผ้านุ่งที่มีลวดลาย


Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ประติมากรรมสังคโลกรูปช้างพระคชาธาร มีแม่ทัพนั่งบนสัปคับ ด้านหลังมีควาญท้ายช้าง
มีขาช้างทั้งสี่ มีทหารจตุรงคเสนาถือปืนสั้น แม่ทัพโพกผ้าส่วนทหารและควาญตัดผมสั้น
นุ่งผ้าโจง กระเบนสั้น ผูกผ้าคาดเอว สวมเสื้อ


เครื่องนุ่งห่ม
ผู้ชายสุโขทัยสวมเสื้อและมีผ้าคล้องไหล่ เสื้อเป็นเสื้อแขนยาวผ่าอก ผู้ชายชั้นสูงมีผ้าพาดไหล่ ส่วนผ้าโพกศีรษะนั้น ก็มีกล่าวไว้ว่า ผ้าทรงและผ้าโพกก่อนจะใส่มักนิยมอบด้วยของหอม เช่น อบด้วยอายธูป ผ้าโพกนี้คงเป็นผ้าโพกศีรษะนั่นเอง ส่วนเสื้อก็เป็นเสื้อแขนสั้น คอสี่เหลี่ยม เรียกว่าเสื้อยันต์หรือไม่ก็เป็นเสื้อชนิดสวมหัว เข้าใจว่าพวกทหารก็มีเครื่องแต่งกายแบ่งหมู่เหล่าด้วยเหมือนกัน โดยใส่เสื้อและหมวกสีต่าง ๆ
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ประติมากรรมสังคโลกรูปบุรุษแบกครกถือสากอมเมี่ยง
ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบน โดยมีชายผ้าด้านหน้าผูกเป็นชายพก

สำหรับผ้านุ่งนั้น ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมเหมือนของสตรี ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือพวกเจ้านายทรงผ้าโจงกระเบนทับสนับเพลา ทั้งบั้นพระองค์หรือเอวมีผ้าจีบประดับทับถ้อยลงมาสองชายแล้วคาดทับด้วยปั้นเหน่งหรือเข็มขัดเส้นใหญ่สวยงามแบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งนั้น ทรงสวมสนับเพลาขายาวหรือขาสั้นเหนือเข่ามีผ้าคาด ส่วนผ้าพาดไหล่นั้น เวลาใช้จะใช้ชายผ้าทั้งสองชายพาดไปด้านหลังของไหล่แต่ละข้าง ด้านหน้าจึงเห็นผ้าเป็นรูปโค้ง หรือไม่ก็พาดไว้ที่ไหล่ข้างเดียว ผ้าห้อยนี้มีหลายสีดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเป็นสามัญชนและพราหมณ์ จะนุ่งผ้าโจงกระเบนสั้น เหนือเข่า มีผ้าคาดเอว

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

เครื่องประดับสมัยสุโขทัย
เครื่องประดับสมัยสุโขทัย ซึ่งส่วนใหญ่ในระยะแรกนั้น มีลักษณะและรูปแบบคล้ายกับศิลปะลพบุรี แต่ได้มีการปรับปรุงรูปแบบเป็นลักษณะของตนด้วย มีการคิดประดิษฐ์ให้รูปแบบใหม่ทั้งจากที่คิดประดิษฐ์ขึ้นเองและได้รับอิทธิพลจากรูปแบบศิลปกรรมภายนอกที่เข้ามาใหม่ เช่น อิทธิพลจากศิลปะลังกา ซึ่งเข้ามาพร้อมกับการรับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เป็นต้น ดังนั้น รูปแบบเครื่องประดับสมัยสุโขทัยจึงมีลักษณะเป็นแบบของตนเอง และเป็นแบบอย่างของเครื่องประดับสมัยอยุธยาในระยะต่อมาด้วย ในสมัยนี้มีการใช้เครื่องประดับทั้งที่ทำด้วยทองคำ ถม เงิน และนิยมประดับด้วยอัญมณี 7 สี มีปัทมราค และ ประพาฬรัตน์ เป็นต้น โดยใช้คำรวม ๆ ว่า “แก้วมณีรัตน์” และ “เครื่องถนิมพิมพาภรณ์” เครื่องประดับที่ปรากฏสำหรับบุคคลชั้นสูง มีศิราภรณ์ ตุ้มหู แหวน สำหรับสตรีชั้นสูง พบว่ามีทองปลายแขนและแหวน นอกจากการแต่งตัวของคนที่มีชีวิตอยู่แล้ว ยังพบว่าในไตรภูมิกถา ก็กล่าวถึงการแต่งตัวให้ผู้ตายด้วย เช่น กล่าวถึงการแต่งตัวศพในอุตรากุรุทวีป ว่าจะอาบน้ำให้ศพและทาด้วยกระแจะแลจวงจันทร์ น้ำมันอันหอม นุ่งห่มผ้า แล้วประดับด้วยๆเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ก่อนนำไปประกอบพิธี
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

รูปแบบของเครื่องประดับ
ศิราภรณ์มีลักษณะคล้ายเทริด แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนกระบังหน้า หรือกรอบพักตร์กันส่วนรัดเกล้าที่ประดับผมส่วนบน ตัวกรอบพักตร์มีความกว้างตรงกลางประดับด้วยลายดอกไม้เป็นแนวกว้างขนาด้วยแถวไข่มุก ตัวกะบังหน้ามีแนวตรงและที่ขอบบนเป็นแนวโค้งหยักสูงเป็นรูปสามเหลี่ยม ส่วนรอบหน้าผากหยักโค้ง
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
เศียรทวารบาลสังคโลก สมัยสุโขทัย แสดงรูปแบบของมงกุฏ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ส่วนรัดเกล้า มี 3 แบบคือ เป็นทรงกระบอกยอดกลมแบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งเป็นทรงกะเปาะ ซ้อนกันขึ้นไป 5 ชั้น ชั้นบนสุดเรียวสูง เหนือขอบบนของกรอบพักตร์มีแผ่นรูปสามเหลี่ยม 3 แผ่น ประดับตรงกลางเหนือหน้าผาก 1 แผ่น และด้านข้างเหนือแนวหูข้างละ 1 แผ่น ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นรัดเกล้าคล้ายวงแหวน หรือกะเปาะเฟืองสั้น ๆ ซ้อนกันขึ้นไป 5 ชั้น

กรองศอมีลักษณะเป็นแถบกว้างโค้งไปตามแนวคอ ตรงกลางแนวกรองศอประดับด้วยลายดอกประจำยามขนาดใหญ่ มีสายต่อกับทับทรวงที่ซ้อนกัน ลายตรงแนวกลางนี้ขนาบด้วยแนวไข่มุก มีหลายลักษณะทั้งแนวกลมมีลายดอกไม้ 3 ดอก ประดับเป็นระยะ ๆ กับที่ตรงกลางเป็นวงเรียบ ขอบสองด้านประดับด้วยแนวหยักหรือเป็นแนวเรียบ แบ่งเป็น 3 แนว แนวกลางประดับด้วยลายไข่มุกขนาดใหญ่ ขนาบด้วยแนวไข่มุกขนาดเล็ก เป็นแนวขอบบนและขอบล่าง และที่เป็นวงแหวน 3 วง เรียงต่อกัน เป็นแผ่นสามเหลี่ยมโค้งคล้ายใบปรือ นอกจากนี้ยังมีห่วงคอเรียบ ๆ ที่มีลายดอกไม้ประดับอยู่ตรงกลางเพียงดอกเดียว

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ปั้นลมสังคโลก สมัยสุโขทัยตกแต่งด้วยภาพเทวดาเหาะ พระหัตถ์ทรงถือพระขรรค์
แสดงเครื่องทรง เช่น ผ้าทรง มงกุฏ พาหุรัด กรองศอ กำไลข้อพระกรและข้อพระบาท
กำไลข้อมือ
กำไลข้อมือมักเป็นแบบเรียบ ๆ ที่สวมหลาย ๆ วง ส่วนใหญ่มี 3 – 4 วง ทำด้วยทองและเงิน

ตุ้มหูตุ้มหูสมัยสุโขทัย ใช้ประดับทั้งบุรุษและสตรี ตุ้มหูเป็นรูปดอกไม้ หรือรูปกลมที่มีก้านเสียบเข้ากับติ่งหูที่เจาะเป็นรูไว้ มีทั้งที่เป็นรูปกลมชิ้นเดียว หรือ 2 – 3 ชิ้นต่อเป็นช่อท้ายลงมา

ปั้นเหน่งเนื่องจากบุรุษและสตรีนุ่งผ้ายาวหรือโจงกระเบนยาวแบบที่อินเดียเรียกว่า โธตี ดังนั้นจึงจับชายผ้าเหน็บที่เอวให้กระชับ แล้วคาดเข็มขัดทับเข็มขัดในสมัยนี้จึงเป็นเส้นเรียบ ๆ มีหัวเข็มขัดเป็นรูปกลมและรูปรี เมื่อรัดแล้วประกอบดูคล้ายกับผูกเชือกรอบเอว

การแต่งกายของเด็กจากประติมากรรมตุ๊กตาสังคโลก พบว่ารูปเด็กไว้ผมจุก มีปิ่นปัก หรือผ้าพัน เด็กเล็กๆ โดยทั่วไปมักไม่นุ่งผ้า เด็กผู้ชายมีพริกเทศห้องกับสายคาดเอว ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงมีจับปิ้งห้อยปิดอวัยวะเพศ เด็กที่โตผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อคอกลมหรือห่มสไบ ถ้าเด็กผู้ชายนุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน แต่หากมีงานประเพณีพิธีกรรม เด็กจะแต่งตัวอย่างงดงาม ด้วยผ้านุ่งผ้าห่มและเครื่องประดับตามฐานะ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


ประติมากรรมสังคโลกรูปคนอุ้มไก่และถือเงินพดด้วง สมัยสุโขทัย
นุ่งผ้านุ่ง ไม่ใส่เสื้อ ไว้ผมยาวรวบเกล้าเป็นมวยเหนือศีรษะ


Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ประติมากรรมสังคโลกรูปพ่อแม่ลูกสมัยสุโขทัย นุ่งผ้านุ่งไม่ใส่เสื้อ


เครื่องประทิ่นหรือเครื่องสำอาง
เครื่องประทิ่น
 ของหอมที่ใช้ทั้งบุรุษและสตรี คือ กระแจะ จวงจันทร์ น้ำมันหอม ผัดหน้าและลูบกายด้วยแป้งสารภี สตรีมีการเขียนคิ้ว แต่งเล็บ ไว้เล็บ สตรีใช้น้ำมันงาใส่ผม



รูปภาพการแต่งกายยุคสุโขทัย


               สุโขทัย


            




สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310) 
ราวสมัย พ.ศ. 1893 สมัยพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านปลดกางเกงหรือ สนับเพลาออกบ้างแล้ว คงใช้เฉพาะขุนนางข้าราชสำนัก แบบขัดเขมรจึงถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึง ใต้เข่าเป็น “นุ่งโจงกระเบน” เสื้อคอกลมแขนกรอมศอก สตรีนุ่งผ้าและผ้ายกห่มสไบเฉียง สวมเสื้อ บ้างโดยมากเป็นแขนกระบอก 

การแต่งกายของสมัยอยุธยา
มีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งมี 3 แบบ ดังนี้
  1. การแต่งกายตามกฎมณเฑียรบาล เป็นแบบของเจ้านาย ข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ ทั้ง ผู้ชายและผู้หญิงตลอดจนพวกมีฐานะจะแต่งตามไปด้วย ผู้หญิงยังมีการเกล้ามวยอยู่
     
  2. การแต่งกายแบบชาวบ้าน (ระยะกลางของสมัยอยุธยา) มีการนุ่งโจงกระเบนทางแถบ เมืองเหนือ ผู้ชายอาจไว้ผมยาว ส่วนทางใต้ลงมาตัดผมสั้น ลง ครั้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการไว้ผมมหาดไทย ผู้หญิงยังคงไว้ผมยาวนิยมห่มสไบ
     
  3. ยุคสงคราม (สมัยอยุธยาตอนปลาย) ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต้องช่วยกันต่อสู้กับศัตรู ผู้หญิงตัดผมสั้น ลง เพื่อปลอมเป็นผู้ชาย และสะดวกในการหลบหนี เสื้อผ้าอาภรณ์จึงตัดทอน ไม่ให้รุ่มร่าม เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่และเคลื่อนไหว มีการห่มผ้าตะเบงมานคือห่มไขว้กัน บริเวณหน้าอกแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ ส่วนผู้ชายไม่มีการเปลี่ยนแปลง (อภิโชค แซ่โค้ว, 2542: 22)
การแต่งกายยุคกรุงศรีอยุธยา จึงแบ่งออกเป็น 4 สมัย ดังนี้ (สมภพ จันทรประภา, 2526: 28)

สมัยที่ 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031 
หญิง ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คือ เกล้าไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก) ศีรษะมีเครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรัดมวยผม

เครื่องประดับ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กำไล ต่างหู

เครื่องแต่งกาย นุ่งซิ่นจีบหน้า สวมเสื้อ แขนกระบอก คอกลม ผ่าหน้า เสื้อ ยาวเข้ารูป มีผ้าคลุมสะโพกไว้ด้านในของตัวเสื้อ แต่ปล่อยชายออกด้านนอก ต่อมาได้ต่อเข้ากับตัวเสื้อ เป็น ชายเสื้อลงมาอีกทีหนึ่ง

ชาย 
ผม มหาดเล็กและคนรับใช้ตัดผมสั้น ชายยังคงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดียวกับ หญิง

เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผ้าหยักรั้ง แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ ผ่าอก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากุ๊นตรงปลายแหลม คอ สาบหน้า และชายเสื้อ

เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ มงกุฎที่ครอบมวยพระเศียรของกษัตริย์ พาหุรัดหรือทองกร เครื่องประดับศีรษะถักด้วยลวดทองคำ
การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 1)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 55)
สมัยที่ 2 พ.ศ. 2034-2171 
หญิง
ผม
 ตัดผมสั้น หวีเสยขึ้น ไปเป็นผมปีก บ้างก็ยังไว้ผมยาวเกล้าบนศีรษะ เลิกเกล้าเมื่อ พ.ศ. 2112 เพราะต้องทำงานหนักไม่มีเวลาเกล้าผม

เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลมผ่าอก ไม่นิยมสไบ ผู้หญิงชั้น สูงสวมเสื้อคอแหลม มีผ้าคล้องไหล่ 2 ข้าง

การห่มสไบมีหลายแบบ
  1. พันรอบตัวเหน็บทิ้งชาย
  2. ห่มแบบสไบเฉียง คือ พันรอบอก 1 รอบแล้วเฉวียงขึ้นบ่าปล่อยชายไว้ข้างหลังเพียงขาพับ
  3. แบบสะพัก สองบ่า ใช้ผ้าพันรอบตัวทับกันที่อกแล้วจึงสะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชายไปข้าง หลัง ทั้ง 2 ข้าง
  4. แบบคล้องไหล่ เอาชายไว้ข้างหลังทั้งสองชาย
  5. แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า
  6. แบบห่มคลุม
ชาย 
ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง

เครื่องแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีผ้าคล้องไหล่
การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 2)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา กุโรวาท (2535: 56)
สมัยที่ 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275 
หญิง 
ผม สตรีในสำนักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บนกระหม่อมแล้ว คล้องด้วยมาลัย ถัดลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาวบ้านตัดผมสั้น ตอนบนแล้วถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประบ่า เรียกว่า “ผมปีก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม ดอกกระทุ่มไม่โกนท้ายทอยปล่อยยาวเป็นรากไทร

การแต่งกาย หญิงในราชสำนักนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อ ผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม คอกลม) แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และห่ม ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ) เหมาะสำหรับเวลาทำงาน บุกป่า ออกรบ

เครื่องประดับ ปักปิ่นทองที่มวยผม สวมแหวนหลายวง สร้อยคอ สร้อยข้อมือ

การแต่งหน้า หญิงชาววัง ผัดหน้า ย้อมฟัน และเล็บเป็นสีดำ ไว้เล็บยาวทางปากแดง หญิงชาวบ้าน ชอบประแป้งลายพร้อย ไม่ไว้เล็บ ไม่ทาแก้ม ปาก

ชาย 
ผม ตัดสั้น ทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตัดสั้น และโกนท้ายทอย)

การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้ทางด้านหลัง สวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อ ยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม ด้านหน้า 8 – 10 เม็ด แขนเสื้อ กว้าง และสั้น มาก ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนางจะสวม ลอมพอกยอดแหลม ไปงานพิธีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัวร์
การแต่งกายสมัยอยุธยา(สมัยที่ 3)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 58,60)
สมัยที่ 4 พ.ศ. 2275 ถึง พ.ศ. 2310
หลักฐานจากวัดใหญ่สุวรรณารามจังหวัดเพชรบุรีเป็นลักษณะเครื่องทรงในพระมหา กษัตริย์และคนชั้น สูง

หญิง การแต่งผม มี 3 แบบ คือ
  1. ทรงผมมวยกลางศีรษะ
  2. ทรงผมปีกมีจอนผม
  3. ทรงหนูนหยิกรักแครง (เกล้าพับสองแล้วเกี้ยว กระหวัดไว้ที่โคน รักแครง เกล้า ผมมวยกลมเฉียงไว้ด้านซ้ายหรือขวา)
  4. ทรงผมประบ่า มักจะรวมผมปีกและผมประป่าอยู่ในทรงเดียวกันและผมปีกทำ เป็นมวยด้วย
เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมกำไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที่ใหญ่กว่าสมัยใด สร้อยตัวสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้ สิ่งที่ใหม่กว่าสมัยใดคือ สวมแหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวนงูรัดต้นแขน

การแต่งหน้าแต่งตัว ทาขมิ้น ให้ตัวเหลืองดังทอง ผัดหน้าขาว ย้อมฟันดำ ย้อมนิ้ว และเล็บด้วยดอกกรรณิการ์ให้สีแดง

การแต่งกาย ของคนชั้น สูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อริ้วทอง (ทำด้วยผ้าไหม สลับด้วยเส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบนหรือ ผ้าถุง

การห่มสไบมี 2 แบบ คือ
  1. ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อ ริ้วทอง และใช้เจียระบาด (ผ้าคาดพุง) คาดทับเสื้อปล่อยชายลงตรงด้านหน้า
  2. ห่มสไบเฉียงไม่ใส่เสื้อเมื่ออยู่กับบ้าน
ชาย ไว้ทรงมหาดไทย ทาน้ำมันหอม

การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอแล้ว ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน แล้วทรงภูษา จีบโจง มีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกที

การแต่งกายสมัยอยุธยา สำหรับผู้ที่สนใจควรศึกษาลายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือ อยุธยาอาภรณ์ ของสมภพ จันทรประภา 2526 และการแต่งกายไทย : วิวัฒนาการจากอดีตสู่ ปัจจุบัน 1 สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ 2543 จะได้ลายละเอียดเพิ่มเติม
การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 4)
ภาพเขียนเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 62)

การแต่งกายของไทยเราจะแสดงลักษณะเด่นชัดตอนสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีลงมา เครื่องแต่งกายของคนย่อมเป็นไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ ในปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ว่าคนไทยเคยอยู่ตอนใต้ของประเทศจีนหรืออยู่ ณ ที่นี้มานานแล้ว มีความสำคัญในการที่จะ สันนิษฐานว่า การแต่งตัวเหมือนเผ่าไทยที่ยังอยู่ในเขตแดนจีน มีอากาศหนาวจึงสวมเสื้อหลายชั้น ถ้าคนไทยอยู่ใน ณ ที่นั้นนานแล้ว ซึ่งจะมีอากาศร้อน เสื้อ ผ้าก็จะมีลักษณะชนิดพันหลวม ๆ มากว่าจะเป็นแบบรัดตรึงแนบตัว

นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาเห็นได้ว่าเครื่องแต่งกายของคนอินเดียได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของเครื่องแต่งกายไทย ผ้าจีบและสไบก็คือผ้าส่าหรีดัดแปลงเป็นสองท่อน ส่วนผ้านุ่งก็คือผ้านุ่ง ของผู้ชายอินเดีย คนไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อรับวัฒนธรรมของใคร มาแล้วรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับสภาพวิถีชีวิตของตนเอง จนกลายเป็นไทยในที่สุด นุ่งโจงห่มจีบ ของไทยก็ได้มาจากห่มส่าหรีของแขกก็จริงแต่ไม่ใช่แขก เรามีการใช้คำว่าเครื่องนุ่งห่มมาก่อน เครื่องแต่งกาย เพราะใช้นุ่งและห่มจริง คือใช้ปกคลุมท่อนล่างและบนแยกกันเป็นคนละส่วน

เครื่องนุ่งห่มของไทยตั้งแต่อดีตเป็นการใช้ประโยชน์ทั้งในด้านความเหมาะสม การประหยัด และความคล่องตัวในการดัดแปลง เช่น ในสมัยอยุธยาการแต่งกายของสตรีไทยตามปกติจะ แสดงออกซึ่งความนุ่มนวลและความเป็นผู้หญิง แต่พอถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อไทยจะทำ สงครามกับพม่าเป็นเวลาที่สตรีไทยต้องออกต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาย การแต่งกายของสตรีก็ เปลี่ยนไปให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ คือ แต่งกายให้รัดกุม ไม่รุ่มร่าม สะดวกในการเคลื่อนไหว เป็นการห่มผ้าแบบ “ตะเบงมาน” ผมก็ตัดสั้น เพื่อสะดวกในการรบ หนีภัย และการปลอมแปลง เป็นชาย 

รูปภาพการแต่งกายสมัยอยุธยา


             อยุธยา

                                  อยุธยา



การแต่งกายของไทยในสมัยกรุงธนบุรี

        สมัยกรุงธนบุรี ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง พระเจ้ากรุงธนได้มี ความสัมพันธ์กับ ต่างประเทศมากขึ้น เพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น จึงเปิดการค้าขายติดต่อกับประเทศจีน ส่วนชาวยุโรป ชาติต่างๆ ที่เคยเข้ามา ติดต่อค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา นั้นได้พากันอพยพ ออกไปค้าขายอยู่ในประเทศอื่นๆ เสียหมดเพราะ บ้านเมืองตกอยู่ ในสภาพยุคเข็ญเป็นจลาจลเสียช้านาน และประกอบกับ ทางยุโรป กำลังยุ่งยาก กับการทำศึกสงคราม ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 จึงทำให้การติดต่อ ไมตรีกับชาวยุโรปชาติต่างๆ ต้องยุติลง ชั่วระยะหนึ่ง
       สำหรับประเทศจีนนั้น ติดต่อค้าขายด้วยกันจนตลอดราชการ และพระองค์ ทรงสนับสนุน กับประเทศนี้มาก จึงมีการนำเอาวัฒนธรรมการแต่งกายบ้าง เครื่องแพรพรรณ เช่น ผ้าแพรจีน นิยมนำมานุ่งมากขึ้น หญิง ( เนื่องจาก การขาดแคลนผ้าสมัยนั้น เพราะเป็นการ สร้างกรุงใหม่ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก) จึงได้กลับมานุ่งผ้าถุง อีกโดย ขมวดชายพกไว้ตามสบาย ห่มสไบรัดหน้าอกอย่างธรรมดา นิยมใช้ผ้าแพร อาจจะได้มาจาก ประเทศจีน ชายเริ่มมี การนุ่งกางเกง เพราะสมัยนี้ได้มีชาวจีน มารับราชการทหารด้วย เป็นอันมากและ เพื่อให้สะดวก ในการออกรบ ส่วนเสื้อนั้น น่าจะเป็นแบบคอกลม แขนขึ้นท่อน ผ่าอกแล้วมีกระดุม ผ้าขดไว้ มีกระเป๋าใหญ่ข้างละใบ สำหรับใส่ของ พบจาก ข้อความ ที่ว่า ”ทัดพวงมาลา” ของหนังสือกฤษณาสอนน้อง แสดงว่าสมัยนี้ นิยมไว้ผม ทรงแบบใหม่ เรียก ”ผมทัด” คือ ผมที่เป็นพู่ ตรงชายผมตกที่ริมหูทั้งสองข้าง สำหรับ ห้อยดอกไม้ จากข้อความที่ว่า ”เสยผม” แสดงว่า ผมทรงนี้ มีการไว้ผม ข้างหน้าสั้น แต่ก็ยาวพอจะใช้มือเสย ไปข้างหลังได้ ยาวกว่าปีกแน่ๆ และไม่มีการแสกผม

รูปภาพการแต่งกายสมัยกรุงธนบุรี
                 กรุงธนบุรี   กรุงธนบุรี 


 
สมัยรัตนโกสินทร์


       
   วัฒนธรรมการแต่งกายในสมัยนี้ ทั้งทรงผม เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับต่างๆ ยังคงลักษณะบางอย่างที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา แต่มีแตกต่างกันไปตามชุมชนทั้งในเมืองและท้องถิ่นต่าง ๆ
           การแต่งกายตามประเพณีนิยมในภูมิภาคต่าง ๆ ของราษฎรจะแตกต่างไปจากประเพณีนิยมของราษฎรในเขตราชธานีภาคกลาง แม้แต่สังคมของคนกรุงเทพฯ ยุคนั้นการแต่งกายของราษฎรทั่วไปยังต่างกันไปตามชนชาติซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในขณะนั้น กลุ่มชนชาติต่าง ๆ อันมีพวกมอญ จาม ฝรั่ง ส่วนใหญ่รับราชการประจำกองทัพ คนจีนรับราชการในด้านกิจการค้าของรัฐในสังกัดกรมท่า คือการค้าสำเภาและการเก็บภาษีอากรภายใน
การแต่งกายโดยทั่วไปของคนในสมัยนี้
ชาย
           ไว้ผมตัดสั้นที่เรียกว่า “ผมมหาดไทย” นุ่งผ้าโจงหรือ จีบ ตามธรรมดา ไม่นิยมสวมเสื้อ ยกเว้นในเทศกาลเข้าร่วมในงานพระราชพิธีต่างๆ

หญิง
           ห่มสไบ นุ่งผ้าโจงหรือผ้าจีบ เครื่องประดับชายหญิงและเด็กรวมทั้งเครื่องแต่งกายนั้น มีมากน้อยแตกต่างกันไปตามฐานะของกลุ่มคนในสังคมซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มคนชั้นสูงและราษฎรสามัญ ลักษณะการแต่งกายตามแบบจารีตนิยมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่ออิทธิพลของชาติตะวันตกขยายตัวเข้ามาในดินแดนแถบนี้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการแต่งกายนี้ได้เกิดในกลุ่มชนชั้นนำก่อน
ยุครัตนโกสินทร์สมัยใหม่ (รัชกาลที่ ๕ - ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๐)
           นโยบายเปิดประเทศอย่างหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการแต่งกาย เช่น โปรดให้ข้าราชการและเจ้านายสวมเสื้อเมื่อเข้าเฝ้า ในสมัยรัชกาลที่ ๔ การเลิกไว้ผมทรงมหาดไทยของผู้ชายมาไว้ยาวแล้วตัดแบบชาวตะวันตกในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ ต่อมาการติดต่อกับต่างประเทศมีมากขึ้น ทั้งด้านความสัมพันธ์ทางการทูต การขยายตัวทางการค้าของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่สั่งสินค้าจากตะวันตกเข้ามาขาย เพื่อรับกับการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวตะวันตก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนทำให้วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวตะวันตกเข้ามามีส่วนสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการแต่งกายเดิม เชื่อว่าเป็นเพราะความนิยมใน "ความเจริญ” ของตะวันตก จึงรับเอาความคิดทางด้านความสวยงามตามทัศนคติของชาวตะวันตกเข้ามาด้วย
           ในระยะต้นเป็นการดัดแปลงแบบตะวันตกผสมกับแบบการแต่งกายเดิม ราชสำนักเป็นแกนนำของความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะราชสำนักฝ่ายใน แต่การ “แต่งอย่างฝรั่ง” ก็เป็นที่ยอมรับเพียงเวลา “ออกการออกงาน” หรือเนื่องในโอกาสต่าง ๆ เป็นพิเศษเท่านั้น ปกติยังคงแต่งกายตามประเพณีเดิม
           นักเรียนไทยที่ได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เป็นแกนนำในการเผยแพร่แบบการแต่งกายของชาวตะวันตก ตลอดจนวิถีทางดำเนินชีวิตบางประการ เช่น การสังสรรค์ที่คลับสโมสร การจัดงานเลี้ยงที่เรียกว่า “ปาร์ตี้” (Party) ประกอบกับการสื่อสารกับประเทศตะวันตกและการสื่อสารภายในประเทศ การแต่งกายแบบ “สากลนิยม” จึงขยายตัวไปสู่กลุ่มชนชั้นกลาง
สมัยรัฐนิยมและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
           ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ วัฒนธรรมการแต่งกายของไทยมีลักษณะเด่นด้านการนิยมแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงแรก (พ.ศ. ๒๔๘๑ -๒๔๘๗) มีนโยบายสำคัญในการสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยม โดยได้มีการวางเป้าหมายปลูกฝังให้ประชาชนชาวไทยเป็นผู้มี “วัธนธัมดี มีศิลธัมดี มีอนามัยดี มีการแต่งกายเรียบร้อย มีที่พักอาศัยดี และมีที่ทำมาหากินดี"
           ด้านการแต่งกายรัฐได้วางระเบียบปฏิบัติ โดยเฉพาะ รัฐนิยมฉบับที่ ๑๐ ประกาศเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๔ มีใจความสำคัญคือ
           เน้นการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเมื่อปรากฏตัวในที่ชุมนุมชน หรือสาธารณชน และแยกแยะประเภทเครื่องแต่งกายที่ถือว่าเรียบร้อยสำหรับประชาชนชาวไทย โดยกำหนดการแต่งกายและทรงผมแบบใหม่ ขอให้สตรีทุกคนไว้ผมยาว เลิกใช้ผ้าโจงกระเบนเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าถุงแทน เลิกการใช้ผ้าผืนเดียวคาดอกหรือเปลือยกายท่อนบน ให้ใส่เสื้อแทน
           ชายนั้นขอให้เลิกนุ่งกางเกงแพรสีต่าง ๆ หรือนุ่งผ้าม่วง เปลี่ยนมาเป็นนุ่งกางเกงขายาวแทน กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ วางระเบียบเครื่องแต่งกายของข้าราชการในเวลาทำงานปกติ และทั่วไปเพื่อให้เป็นแบบอย่างอันดี ในเวลาทำงานปกติข้าราชการหญิงต้องใส่เสื้อขาวนุ่งกระโปรงสีสุภาพ หรือผ้าถุง และสวมรองเท้าหุ้มส้น ถุงเท้าสั้นหรือยาวก็ได้ และต้องสวมหมวก สีของเครื่องแต่งกายนั้นถ้าเป็นงานกลางแจ้งควรใช้สีเทา ถ้าเป็นงานในร่มหรือเกี่ยวกับเครื่องจักร ควรใช้สีน้ำเงินเข้ม เป็นต้น
ระยะ พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๒๕
           ในช่วงเวลานี้ได้มีวิวัฒนาการการแต่งกายแบบไทยที่สำคัญคือ การแต่งกายแบบไทยตามแนวพระราชนิยม คือ ชุดไทยพระราชนิยมสำหรับหญิง และชุดไทยพระราชทานสำหรับชาย ทั้งสองชุดนี้ได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นชุดประจำชาติของไทย
การแต่งกายชุดไทยพระราชนิยม
           สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระที่โดยตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป และ สหรัฐอเมริกา โดยทีทรงมีพระราชดำริว่าไทยเรายังไม่มีชุดแต่งกายปะจำชาติที่เป็นแบบแผนเหมือนชาติอื่น ๆ และการเสด็จประพาสครั้งนี้ก็เป็นราชการสำคัญ จึงโปรดฯ ให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ได้หารือกับผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ ค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของไทยสมัยต่าง ๆ และโปรดให้คุณอุไร ลืออำรุง ช่างตัดฉลองพระองค์เลือกแบบต่าง ๆ มาดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสม จัดเป็นชุดไทยพระราชนิยมหลายชุด และกำหนดให้เลือกใช้ในวาระต่าง ๆ กัน คือ
ยุค ๒๕๒๕ - ๒๕๓๗ - ๒๕๔๔

           หญิงไทยในยุคนี้จะแต่งกายตามสมัยนิยมและกล้าที่จะแต่งชุดที่ขัดกับวัฒนธรรมไทย เช่น นุ่งกระโปรงสั้นเหนือเข่าจนเห็นขาอ่อน (mini skirt ) ใส่เสื้อเปิดพุง หรือรัดรูป ฯลฯ บางแฟชั่นก็เป็นกระโปรงบานยาวกรอมเท้า ฯลฯ ตามแต่จะได้รับสื่อแฟชั่นจากทุกมุมโลก ซึ่งเข้าสู่สมัยเทคโนโลยีการสื่อสารไร้พรมแดน แฟชั่นการแต่งกายสมัยใหม่ระบาดออกไปสู่วัยรุ่นไทยทุกจังหวัดอย่างรวดเร็วผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะการแต่งกายเลียนแบบดารานักร้อง นักแสดงวัยรุ่น ค่านิยมของการแต่งกายเปลี่ยนแปลงไปตามอาชีพ ตามวัยและตามสภาวะแวดล้อม “แฟชั่นกางเกง” นับเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมในเกือบทุกวัยทุกอาชีพ การนุ่งกางเกงนับเป็นเรื่องปกติสำหรับหญิงไทย กางเกงผ้ายีนส์เข้ามามีบทบาทมากในกลุ่มวัยรุ่น           อาจกล่าวได้ว่าในช่วงนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีรูปแบบหรือไม่อย่างไร คงหมุนไปตามกระแสแฟชั่นของโลก


การแต่งกายในสังคมปััจุบัน

         ค่านิยมการแต่งกายในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากอดีตที่ผ่านมา อาจเกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจในรากฐานการดำเนินชีวิตของผู้ออกแบบและสสวใส่ ซึ่งอาจไม่เข้าใจว่าเสื้อผ้าอาภรณ์แบบไหนเหมาะสมกับกาลเทศะใด จนกระทั่งเกิดเป็นประเด็นปัญหา เช่น การที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเยาวชน หรือวัยรุ่นหญิงมีความกล้าในการแต่งกายกันมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องแบบชุดนักศึกษา ทั้งเสื้อและกระโปรงต้องฟิตจนปริหรือรัดรูปร่างจนไม่ส่งผลดีกับภาวะสุขภาพของผู้สวมใส่ มองดูแล้วน่าจะต้องทนอึดอัดกับการสวมใส่อยู่ไม่น้อย ปัจจุบันนักศึกษาจำนวนไม่น้อยมีรสนิยมในการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมและถือเป็นแฟชั่น โดยไม่คำนึงถึงกฎระเบียบและรูปแบบที่ถูกต้อง รวมถึงประพฤติตามกันโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมกับบุคลิกภาพของตนเอง จึงเกิดภาพลักษณ์การแต่งกายของนักศึกษาที่ไม่สวยงาม ไม่เหมาะสม ผู้พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่รู้จบ
        สถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นสถาบันมีหน้าที่โดยตรงในการปลูกฝังความดีงามให้อยู่ในจิตสำนึกของเด็กและเยาวชน มีบทบาทสำคัญในการลดการเบี่ยงเบนทางนิยมการแต่งกายของเยาวชนในสังคมไทย ปัจจุบันนี้มีหลายสถาบันที่ส่งเสริมในเรื่องค่านิยมที่ดีในการแต่งกาย และมีนโยบายที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง มีการส่งเสริมให้นักเรียนใผ้ไทย หรือแต่งกายในแบบชุดไทยใน 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งหากผ้าไทยได้ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องแบบสำหรับนักเรียน สร้างความชื่นชมแก่ผู้พบเห็นโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยว เยาวชนที่อยู่ในสถาบันการศึกษาก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส มีความรู้สึกว่าได้แต่งกายสวยงามเป็นพิเศษกว่าทุกวัน นับเป็นความคิดที่ดีที่มีสถาบันให้การรณรงค์และส่งเสริมสร้างค่านิยมที่ดี สร้างความภูมิใจให้กับเยาวชนไทยอย่างจริงจัง
      จากที่กล่าวมา ทำให้มองเห็นว่า กฎ ระเบียบ ข้อบังคับอาจไม่ใช่วิธีการที่ก่อให้เกิดความเต็มใจในการปฏิบัติ อีกทั้งอาจไม่เกิดลดีในการใช้กับวัยรุ่นหรือเยาชน แต่การปลูกฝัง การจูงใจ สร้างค่านิยมที่ดีงามตั้งแต่เยาว์วัย น่าจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเสริมพฤติกรรมและค่านิยมที่ดีงามให้กับเยาวชน แม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปแค่ไหน แต่ความงามในเรื่องพฤติกรรมและการแต่งกายตามครรลองของวัฒนธรรมก็ยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตนคนไทยได้ดีที่สุด

วัฒนธรรมการแต่งกายวัยรุ่นไทย
สังคมไทยในทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจ มาสู่รูปแบบสังคมอุตสาหกรรมตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆที่ได้หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เกิดการแพร่หลายทางวัฒนธรรมเข้ามาสู่สังคมไทยมากขึ้น โดยวัฒนธรรมที่สังคมไทยรับเข้ามาไม่เพียงแต่ทางตะวันตกเท่านั้น ทางตะวันออกเองก็เข้ามีบทบาทชัดเจนด้วยเช่นกัน อาทิเช่นเกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น  วัฒนธรรมทั้งสองแห่งนี้ ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆด้าน                                     การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดทั้งข้อดีและข้อเสียต่อสังคม  ตัวอย่างด้านหนึ่งของสังคมที่ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นปัญหาที่ผู้ใหญ่ๆหลายคนหนักใจและพยายามแก้ไขให้อยู่ในประเพณีอันดีงามของไทยเหมือนเดิม นั่นคือ การแต่งกายของวัยรุ่นไทยปัจจุบัน  ที่มักแต่งกายยั่วยวน เซ็กซี่ จนก่อให้เกิดคดีอาชญากรรม  การข่มขืนกระทำชำเราหลายต่อหลายคดีมาแล้ว
                การแต่งกายของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน ได้รับอิทธิพลทั้งจากทางตะวันตกและตะวันออก      แต่ภายหลังมานี้ วัฒนธรรมเกาหลีและญี่ปุ่นจะได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะด้านการแต่งกายเท่านั้น การเต้น การร้องเพลง ศิลปินดาราของเกาหลีและญี่ปุ่น ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งโทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์  อินเทอร์เน็ต จึงทำให้การติดตามข่าวสารในเรื่องเหล่านี้ทำให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ซึ่งแนวทางการติดตามข่าวสารดังกล่าวนี้ ทำให้วัยรุ่นซึมซับวัฒนธรรมเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมผสมผสานจนบ่อยครั้งที่แยกไม่ออกว่าเป็นวัฒนธรรมของชาติไหน
                สื่อและเทคโนโลยีต่างๆ ถือว่าเป็นตัวนำหลักของการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการแต่งกายที่ชัดเจนมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ  อินเทอร์เน็ต ต่างก็พยายามหาข้อมูลที่ผู้คนให้ความสนใจมาเผยแพร่ ยกตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมเกาหลีที่เข้ามามีบทบาทมากในหมู่วัยรุ่น เนื่องมาจากละครของประเทศเกาหลีที่นำมาเผยแพร่ผ่านทางรายการโทรทัศน์ของไทย ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งทางด้านการแต่งกาย อาหาร วัฒนธรรมท้องถิ่น ประกอบกับสถานที่ถ่ายทำละครนั้นมีความสวยงาม ชวนให้ไปท่องเที่ยวในสถานที่นั้นๆ ยิ่งทำให้กระแสวัฒนธรรมเกาหลีทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการโฆษณาเพลงของนักร้อง และดาราเกาหลี ที่มีการแต่งกายที่แหวกแนว มีการ เจาะรูตามร่างกาย  กระโปรงสั้น เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดลายตา แม้แต่กระทั่งทรงผมก็มีความแปลกใหม่และแปลกตาเป็นอย่างมาก  อินเทอร์เน็ตก็เป็นสื่ออีกแขนงหนึ่งที่มีข้อมูลข่าวสารด้านแฟชั่นต่างๆของเกาหลี ที่จะมีการรายงานข้อมูลต่างๆอยู่เสมอๆ  ทำให้วัยรุ่นไทยเกิดการลอกเลียนแบบ  อยากที่จะแต่งตัวตามดาราหรือนักแสดงเกาหลีคนนั้น คนนี้บ้าง   จึงมีการแต่งกายที่เปิดเผยให้เห็นส่วนของเนื้อหนังมากขึ้น ทั้งรัดรูป เกาะอก  สายเดี่ยว  กางเกงขาสั้น เป็นต้น  นี่เป็นเพียงตัวอย่างจากวัฒนธรรมการแต่งกายเพียงแค่ชาติเดียวเท่านั้น แท้จริงแล้วพบว่าวัยรุ่นไทยได้ซึมซับวัฒนธรรมการแต่งกายมาจากหลากหลายประเทศ จึงทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีแฟชั่นการแต่งกายใหม่ๆ ออกมาเสมอ
                การปรับปรุงแก้ไขด้านการแต่งกายของวัยรุ่นนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากพอสมควร เพราะมักจะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล อีกทั้งร้านค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่นจะมีเสื้อผ้าใหม่ๆที่น่าสนใจออกมาขายให้กับวัยรุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งตลาดนัดธรรมดาก็จะพบเห็นเป็นประจำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้วัยรุ่นแต่งกายกันตามแฟชั่นอยู่ตลอด  เพราะฉะนั้นควรที่จะปลูกฝังค่านิยมการแต่งกายเสียใหม่ให้กับวัยรุ่น
ภาครัฐและภาคเอกชนต้องเข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงดูแลเรื่องสื่อและเทคโนโลยีต่างๆด้วยเช่น การรณรงค์การแต่งกายมิดชิด สื่อสาธารณะ(ดารานักแสดง นักร้อง )ควรเป็นกลุ่มตัวอย่างในการแต่งกาย และขณะเดียวกันก็ควรแสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยด้วย ในส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองเองก็ต้องคอยดูแลลูกหลานของตนเอง ปลูกฝังให้รักนวลสงวนตัว ไม่ให้แต่งกายมิดชิดไม่เปิดเนื้อหนังมากเกินแต่ก็ไม่ควรให้เด็กรู้สึกว่าก้าวก่ายมากเกินไป และต้องเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆด้วย  ที่สำคัญที่สุดคือ เยาวชนหรือวัยรุ่นเองก็ต้องรู้จักแต่งกายให้รัดกุม มิดชิด ไม่เปิดให้เห็นเนินอก หรือขาสั้นจนเกินงาม วัยรุ่นควรที่จะป้องกันอันตรายด้วยการสร้างจิตสำนึกแก่ตนเองเช่นกัน อย่ามัวแต่ให้คนอื่นมาคอยดูแลเพียงฝ่ายเดียว  นั่นจึงจะทำให้ปัญหาด้านการแต่งกายของวัยรุ่นที่ผิดไปจากวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยแบบเดิมนั้นกลับมาเหมาะสมตามเดิม
                แม้ว่าการแต่งกายจะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่หากวัยรุ่นไทยยังคงมีการแต่งกายที่ล่อแหลม ยั่วยวนกิเลสของผู้ชาย แต่งกายไม่เหมาะสมกับคติคำสอนของไทยอย่างเช่นทุกวันนี้ ปัญหาอาชญากรรมก็คงจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยอีกนับไม่ถ้วน และที่สำคัญคือ วัฒนธรรมการแต่งกายอันดีงามของไทยคงสูญหายไปอย่างแน่นอนในภายภาคหน้า อนาคตลูกหลานจะไม่เข้าใจว่า สิ่งไหนเป็นวัฒนธรรมของไทย สิ่งไหนเป็นวัฒนธรรมของต่างชาติ  จะรอให้ใครคนใดคนหนึ่งเริ่มต้นแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนก่อนจึงจะทำตามไม่ได้ คนไทยทุกคนต้องสำนึกได้ถึงความสำคัญและเป็นคนเริ่ม ทั้งเยาวชน ผู้ปกครอง ภาครัฐ  ภาคเอกชน และสังคมต้องคอยช่วยกันดูแลและส่งเสริมการแต่งกายของเด็กไทยให้อยู่ในกรอบในจารีตประเพณีของไทย จึงจะทำให้สังคมไทยสามารถคงความเป็นไทยให้ลูกหลานได้เรียนรู้วัฒนธรรมอันดีงามของชาติต่อไป

รูปภาพการแต่งกายในสังคมปัจจุบัน

   


แฟชั่นชุดทำงานผู้ชาย 4 สไตล์ ปรับลุครับปีใหม่ รูปที่ 3
ชุดทำงาน

อย่างไรก็ตามการแต่งกายเป็นมารยาททั่ว ๆ ไปซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติเหมือนกันตามแต่โอกาสที่เหมาะสม เช่น แต่งกายไปทำงาน,ไปวัด ทำบุญ,ไปเล่นกีฬา และงานพิธีต่าง ๆ หรือการแต่งกายที่อยู่ในเครื่องแบบของนักเรียน นักศึกษา ทหาร ตำรวจ บริษัทห้างร้านที่กำหนดให้พนักงานแต่งกาย เป็นต้น หากบุคคลใดสามารถปฏิบัติได้ตามกฎระเบียบที่กำหนดถือว่าเป็นผู้มีมารยาทในการแต่งกายที่ดี

เครื่องแต่งกายเป็นสิ่งแรกที่สะดุดตาผู้ที่พบเห็น ถ้าแต่งกายเหมาะสมก็จะก่อให้เกิดความประทับใจในทางที่ดี หากแต่งตัวไม่เหมาะสมผู้อื่นก็จะมองเราในลักษณะที่ไม่สู้ดีนัก แม้จะเป็นความจริงว่าคนเลวอาจซ่อนร่างอยู่ในเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยสวยงามก็ได้ แต่ถ้าคนดีมีความรู้ความสามารถนั้นหากแต่งกายไม่เหมาะสม คนที่พบเห็นครั้งแรกอาจไม่เกิดความนิยม เลื่อมใส และเป็นการปิดโอกาสของตนเองที่จะได้แสดงความดีและความสามารถ ดั้งนั้น การแต่งกายจึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก หลักสำคัญเกี่ยวกับการแต่งกาย คือ แต่งกายสะอาด แต่งกายสุภาพเรียบร้อย และแต่งกายถูกต้องตามกาลเทศะ

การแต่งกายสะอาด ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความสะอาดในที่นี้ไม่เกี่ยวกับ ความ
เก่าความใหม่ เพราะเครื่องแต่งกายที่ใหม่อาจสกปรกก็ได้ และเครื่องแต่งกายที่เก่ามีรอยปะชุนก็อาจดูสะอาดได้ หรือเครื่องแต่งกายราคาแพงก็อาจดูสกปรกได้ แต่เครื่องแต่งกายราคาถูกก็ดูสะอาดได้ ดังนั้น คนฐานะที่ไม่ดีนักก็สามารถแต่งตัวสะอาดได้เท่ากับคนฐานะดี โดยเสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่นั้นก็ควรซักรีดให้เรียบร้อย รองเท้าก็ขัดให้ดูพองาม กระเป๋าก็เช็ดถูให้ดูสะอาดเหล่านี้ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่จะทำหรือไม่เท่านั้น อนึ่งการอาบน้ำชำระกายให้สะอาด และการดูแลเล็บมือ เล็บเท้ามิให้สกปรก ก็เป็นสิ่งที่ควรดูแลรักษาทำความสะอาดด้วย 

การแต่งกายสุภาพเรียบร้อย การแต่งกายควรแต่งให้เรียบร้อยพอควร เพราะ คนแต่ละคนหรือสังคมแต่ละแห่ง อาจมีเกณฑ์วัดความสุภาพเรียบร้อยต่างกันออกไป แต่ถ้าใช้สามัญสำนึกสักหน่อย ก็จะพอรู้ว่าในสังคมไทยแต่งกายอย่างไรจึงจะถือว่าแต่งกายเรียบร้อย และอย่างไรถือว่าไม่เรียบร้อย เช่น การใส่เสื้อกล้ามไปร้านอาหาร การแต่งกายโดยเปิดเผยให้เห็นส่วนของร่างกายที่ควรสงวน หรือใส่เสื้อผ้ารัดแน่นจนน่าเกลียด หรือสวมกระโปรง กางเกงที่สั้นมาก ๆ เพื่อต้องการแสดงและเน้นสรีระของร่างกาย โดยเฉพาะการแต่งกายดังกล่าวข้างต้นไปในสถานที่ควรแก่การสักการะบูชา เช่น ศาสนสถาน วัด โบสถ์ หรือสถานที่ราชการ สถานศึกษา ฯลฯ ซึ่งถือว่าไม่สุภาพเรียบร้อย

การแต่งกายถูกต้องตามกาลเทศะ การแต่งกายนอกจากจะสะอาดและมีความสุภาพเรียบร้อยแล้ว ควรให้เหมาะสมกับสมัยนิยมและให้เหมาะกับสถานที่ที่จะไปด้วย การแต่งกายที่ผิดสมัยนิยมนั้นหากสะอาดและสุภาพเรียบร้อยก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายมาก แต่คนอาจมองว่าเชยเท่านั้น ดังนั้นการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะนั้นเป็นเรื่องสำคัญ จึงควรระวังแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ ดังนี้ 

ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับงานที่จะไป เช่น ไม่แต่งชุดดำไปงานแต่งงาน ไม่แต่งสีฉูดฉาดไปงานศพ เป็นต้น แต่งกายให้เกียรติเจ้าภาพของงานตามสมควร เช่น ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูงจะแต่งลำลองอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าไปงานแต่งงานที่จัดหรูหราเป็นพิธีรีตรอง จะสวมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปคงไม่เหมาะสม เพราะถือว่าไม่ให้เกียรติเจ้าภาพ แต่ถ้าเรามีเงินน้อย ไม่มีชุดสากลหรือชุดพระราชทาน จะใส่กางเกงและเสื้อธรรมดาไปก็ได้ ข้อสำคัญคือต้องสะอาดและสุภาพเรียบร้อย 

การแต่งกายอย่างหนึ่งอาจเหมาะสมกับที่หนึ่ง แต่ไม่เหมาะสมกับอีกที่หนึ่ง เช่น ใส่ชุดว่ายน้ำอยู่ที่ชายหาดหรือริมสระว่ายน้ำ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเดินไปในที่ห่างจากชาดหาดและสระมาก ๆ ก็ดูไม่เหมาะสม หรือการสวมรองเท้าแตะที่บ้าน หรือเดินเล่นนอกบ้านก็ไม่เป็นไร แต่จะใส่ไปโรงเรียนหรือไปทำงานบางอย่างก็ถือว่าเป็นการไม่เหมาะสม เป็นต้น ความสะอาดและความสุภาพเรียบร้อยสำคัญที่สุด เพราะคนเรานั้นต่างจิตต่างใจกัน คนหนึ่งว่าเหมาะอีกคนว่าไม่เหมาะ ดังนั้นถ้ามีปัญหาก็ให้ยึดหลักความสะอาดและสุภาพไว้ก่อน ซึ่งใช้ได้ทุกกรณี อันที่จริงการแต่งกายสะอาดและสุภาพแล้วก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอื่นจนเกินไป 

ดังนั้น มารยาทการแต่งกายที่พึงประสงค์ จึงไม่ได้หมายถึง การแต่งกายตามแฟชั่น แต่เป็นการแต่งกายที่จะต้องคำนึงถึงความสุภาพเรียบร้อย สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อมีผู้พบเห็นจะรู้สึกทันทีว่าผู้ที่แต่งกายดีถูกต้องตามกาลเทศะ คือ คนที่ควรได้รับการชมเชย จากสังคมและผู้ปฏิสัมพันธ์ด้วย ในมุมกลับกันหากแต่งกายไม่สุภาพเรียบร้อย ก็จะเกิดคำตำหนิ ติเตียน จากผู้ที่พบเห็น ทำให้เสื่อมเสียทั้งตนเอง สถานบันครอบครัว และสถานศึกษา ดังตัวอย่างการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมดั่งที่เป็นข่าว จึงขอฝากข้อควรคำนึงถึงการแสดงมารยาทที่พึงประสงค์ต่อสถานที่อันควรเคารพสักการะ ได้แก่ แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ถอดหมวก ถอดรองเท้า ลดร่มลง ไม่แสดงอาการเหยียดหยามหรือพูดคำหยาบ ไม่ส่งเสียงเอะอะอื้ออึง และทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ไม่กล่าวคำทำนองว่าไม่เชื่อหรือไม่ศรัทธาต่อสถานศักดิ์สิทธิ์นั้น ทำใจเป็นกลาง ไม่คิดแต่จะจับผิด เนื่องจากถือว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตามธรรมเนียมที่เขาปฏิบัติกัน ยกเว้นธรรมเนียมนั้นจะขัดกับศรัทธาของตนหรือขัดกับหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ คำนึงอยู่เสมอว่าสถานศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาใด ศาสนิกชนในศาสนานั้นก็เคารพสักการะ อย่าแสดงอะไรที่เป็นการทำลายน้ำใจกัน

อาหารไทยสี่ภาค


อาหารไทยสี่ภาค

อาหาร   หมายถึง  สสารใด ๆซึ่งบริโภคเพื่อเสริมโภชนาการให้แก่ร่างกาย อาหารมักมาจากพืชหรือสัตว์ และมีสารอาหารสำคัญ อาทิ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามิน หรือแร่ธาตุ สิ่งมีชีวิตย่อยและดูดซึมสสารที่เป็นอาหารเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปสร้างพลังงาน คงชีวิต และ/หรือ กระตุ้นการเจริญเติบโต
ในอดีต มนุษย์ได้มาซึ่งอาหารด้วยสองวิธีการ คือ การล่าสัตว์และเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ (hunting and gathering) และเกษตรกรรม ปัจจุบัน พลังงานจากอาหารส่วนใหญ่ที่ประชากรโลกบริโภคนั้นผลิตจากอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งดำเนินการโดยบรรษัทข้ามชาติซึ่งใช้เกษตรประณีต และอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตของระบบให้ได้มากที่สุด
ความปลอดภัยของอาหารและความมั่นคงทางอาหารได้รับการเฝ้ามองโดยหน่วยงานอย่างสมาคมระหว่างประเทศเพื่อคุ้มครองอาหาร, สถาบันทรัพยากรโลก, โครงการอาหารโลกองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และสภาข้อมูลอาหารระหว่างประเทศ ซึ่งองค์การทั้งหลายนี้ระบุประเด็นปัญหาอย่าง ความยั่งยืน ความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เศรษฐศาสตร์สารอาหาร การเติบโตของประชากร ทรัพยากรน้ำ และการเข้าถึงอาหาร
สิทธิในการได้รับอาหารเป็นสิทธิมนุษยชนซึ่งกำหนดขึ้นจากกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) โดยตระหนักถึง "สิทธิที่จะมีมาตรฐานการครองชีพอย่างพอเพียง รวมทั้งอาหารที่เพียงพอ" เช่นเดียวกับ "สิทธิขั้นพื้นฐานที่จะปลอดจากความหิวโหย"

        นิยามทางกฎหมาย

บางประเทศมีการกำหนดนิยามทางกฎหมายของอาหาร ซึ่งประเทศเหล่านี้กำหนดว่า อาหารหมายถึงวัตถุใด ๆ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอน ผ่านขั้นตอนบางส่วน หรือไม่ผ่านขั้นตอนเพื่อการบริโภค รายชื่อสิ่งที่รวมว่าเป็นอาหารนั้น มีทั้งสสารใด ๆ ซึ่งคาดว่า หรือมีเหตุให้คาดว่า จะถูกย่อยโดยมนุษย์ นอกเหนือไปจากอาหารเหล่านี้ เครื่องดื่ม หมากฝรั่ง น้ำหรือสิ่งอื่นที่ผ่านขั้นตอนไปรวมอยู่ในวัตถุอาหารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนิยามทางกฎหมายของอาหารด้วย สิ่งที่ไม่รวมอยู่ในนิยามทางกฎหมายของอาหาร มี อาหารสัตว์ สัตว์เป็น ๆ (ยกเว้นแต่ที่ถูกเตรียมไว้ขายในตลาด) พืชก่อนการเก็บเกี่ยว ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง ยาสูบและผลิตภัณฑ์ยาสูบ สารเสพติดหรือยากล่อมประสาท ตลอดจนเศษตกค้างและสิ่งปนเปื้อน
ในกฎหมายไทย พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 นิยามอาหารว่า "ของกินหรือเครื่องค้ำจุนชีวิต" โดยแบ่งเป็น
(1) วัตถุทุกชนิดที่คนกิน ดื่ม อม หรือนำเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ หรือในรูปลักษณะใด ๆ แต่ไม่รวมถึงยา วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หรือยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณี
(2) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้หรือใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารรวมถึงวัตถุเจือปนอาหาร สี และเครื่องปรุงแต่งกลิ่นรส
อาหารไทยภาคต่าง ๆ

อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ
        ภาคเหนือรวม 17 จังหวัดประกอบด้วยภูมินิเวศน์ที่หลากหลายพร้อมด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ดอน และที่ภูเขาสูงในการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยพื้นราบซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ที่พื้นที่ลุ่มบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ปิง วัง ยม น่าน ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน และ อิง ลาว ของลุ่มน้ำโขง มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกข้าวโดยชาวไทยพื้นราบภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน) มีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก
อาหารของคนเหนือจะมีความงดงาม เพราะด้วยนิสัยคนเหนือจะมีกริยาที่แช่มช้อย จึงส่งผลต่ออาหาร โดยมากมักจะเป็นผัก

อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคอีสาน)
        ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งในเขตที่ราบ ในแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร อาศัยลำน้ำสำคัญ เช่น ชี มูล สงคราม โขง เป็นต้น และชุมชนที่อาศัยในเขตภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาภูพานและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งความแตกต่างของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ระบบอาหารและรูปแบบการจัดการอาหารของชุมชนแตกต่างกันไปด้วย แต่เดิมในช่วงที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ อาหารจากธรรมชาติมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านจะหาอาหารจากแหล่งอาหารธรรมชาติเท่าที่จำเป็นที่จะบริโภคในแต่ละวันเท่านั้น เช่น การหาปลาจากแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องจับปลามาขังทรมานไว้ และหากวันใดจับปลาได้มากก็แปรรูปเป็นปลาร้าหรือปลาแห้งไว้บริโภคได้นาน ส่งผลให้ชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากตลาดน้อยมาก ชาวบ้านจะ “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” สวนหลังบ้านมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งอาหารประจำครัวเรือน ชาวบ้านมีฐานคิดสำคัญเกี่ยวกับการผลิตอาหาร คือ ผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค มีเหลือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและทำบุญ
อาหารอีสานจะเน้นไปทางรสชาติที่อ่อนหวาน เช่น ผัดหมี่โคราช ส้มตำ

อาหารภาคกลาง
         ลักษณะอาหารพื้นบ้านภาคกลางมีที่มาต่างกันดังนี้
ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จะมาจากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันมาจากประเทศจีนหรือขนมเบื้องไทย ดัดแปลงมาจาก ขนมเบื้องญวน ขนมหวานประเภททองหยิบ ทองหยอดรับอิทธิพลจากประเทศทางตะวันตก เป็นต้น
เป็นอาหารที่มักมีการประดิษฐ์ โดยเฉพาะอาหารจากในวังที่มีการคิดสร้างสรรค์อาหารให้เลิศรส วิจิตรบรรจง เช่น ขนมช่อม่วง จ่ามงกุฎ หรุ่ม ลูกชุบ กระเช้าสีดา ทองหยิบ หรืออาหารประเภทข้าวแช่ ผัก ผลไม้แกะสลัก
เป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียง ของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ ต้องแนมด้วยหมูหวานแกงกะทิ แนมด้วยปลาเค็ม สะเดาน้ำปลาหวานก็ต้องคู่ กับกุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง ปลาสลิดทอดรับประทานกับน้ำพริกมะม่วง หรือไข่เค็มที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกลงเรือ น้ำพริกมะขามสดหรือน้ำพริกมะม่วง นอกจากนี้ยังมีของแหนมอีกหลายชนิด เช่น ผักดอง ขิงดอง หอมแดงดอง เป็นต้น
เป็นภาคที่มีอาหารว่าง และขนมหวานมากมาย เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ กระทงทอง ค้างคาวเผือก ปั้นขลิบนึ่ง ไส้กรอกปลาแนม ข้าวตังหน้าตั้ง

อาหารภาคใต้
         ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นทะเล ชาวใต้นิยมใช้กะปิในการประกอบอาหาร อาหารที่ปรุงในครัวเรือนก็เหมือนๆกับอาหารไทยทั่วไป แต่รสชาติจะจัดจ้านกว่า อาหารใต้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเผ็ดจากพริกแต่ยังใช้พริกไทยเพิ่มความเผ็ดร้อนอีกด้วย และเนื่องจากภาคใต้มีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก ตามจังหวัดชายแดนใต้ก็ได้มีอาหารที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างอาหารใต้ที่ขึ้นชื่อได้แก่
แกงไตปลา (ไตปลา ทำจากเครื่องในปลาผ่านกรมวิธีการหมักดอง) การทำแกงไตปลานั้นจะใส่ไตปลาและเครื่องแกงพริก ใส่สมุนไพรลงไป เนื้อปลาแห้ง หน่อไม้สด บางสูตรใส่ ฟักทอง ถั่วพลู หัวมัน ฯลฯ
คั่วกลิ้ง เป็นผัดเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกและสมุนไพรปรุง รสชาติเผ็ดร้อน มักจะใส่เนื้อหมูสับ หรือ ไก่สับ
แกงพริก แกงเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกเป็นส่วนผสม เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อหมู กระดูกหมู หรือไก่
แกงป่า แกงเผ็ดที่มีลักษณะที่คล้ายแกงพริกแต่น้ำจะใสกว่า เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อปลา หรือ เนื้อไก่
แกงส้ม หรือแกงเหลืองในภาษากลาง แกงส้มของภาคใต้จะไม่ใส่หัวกระชาย รสชาติจะจัดจ้านกว่าแกงส้มของภาคกลาง และที่สำคัญจะต้องใส่กะปิด้วย
หมูผัดเคยเค็มสะตอ เคยเค็มคือการเอากุ้งเคยมาหมัก ไม่ใช่กะปิ
ปลาต้มส้ม ไม่ใช่แกงเผ็ดแต่เป็นแกงสีเหลืองจากขมิ้น น้ำแกงมีรสชาติเปรี้ยวจากส้มควายและมะขามเปียก

อาหารภาคเหนือ

*แกงอ่อมหมู**



++เครื่องปรุง++
หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 2 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
น้ำซุป 3 ถ้วย
ใบมะกรูด
++เครื่องแกง++
พริกแห้ง 7 เม็ด
หอมแดง 5 หัว
กระเทียม 1 หัว
ข่าซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีซอย 1 ช้อนชา
กะปิ 1 ช้อนชา
++วิธีทำ++

1 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด
2 นำเครื่องแกงผัดกับน้ำมันให้หอม
3 ใส่หมูลงผัด เติมน้ำซุป เคี่ยวไปจนหมูเปื่อย
4 ใส่ใบมะกรูด ปรุงตามชอบ
**น้ำพริกปลา**




เครื่องปรุง

พริกหนุ่มเผา 7 เม็ด
หอมแดงเผา 5 หัว
กระเทียมเผา 2 หัว
กะปิ ห่อใบตองเผา 1 ช้อนชา
น้ำปลาร้าต้มสุก 1 ถ้วย
ปลาช่อนย่าง (เอาแต่เนื้อ) 1/2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
ผักชีซอย 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ

1 โขลกพริก หอมแดง กระเทียม กะปิ เกลือ
2 ใส่ปลา โขลกให้เข้ากัน
3 ใส่น้ำปลาร้า คนให้เข้ากัน ใส่ต้นหอม ผักชี ชิมดู
รับประทานกับผักสด เช่น แตงกวา ผักแว่น มะเขือกรอบ



**ขนมจีนนำเงี้ยว**


**เครื่องปรุง**
ซี่โครงหมู ตัดเป็นชิ้น 1x1 นิ้ว (ต้มให้นุ่ม) 1/2 กิโลกรัม
เลือดหมู หั่นสี่เหลี่ยม 1/2x1/2 นิ้ว 1/2 กิโลกรัม
มะเขือเทศลูกเล็ก ผ่าครึ่ง 1/2 กิโลกรัม
เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป (น้ำต้มกระดูกหมู กรองเอาเฉพาะน้ำ) 6 ถ้วย
**เครื่องแกง**
เม็ด พริกแห้ง 7 เม็ด
รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนชา
ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 2 ช้อนชา
กะปิ 2 ช้อนชา
หอมแดง 7 หัว
กระเทียม 3 หัว
**เครื่องเคียง**
ผักกาดดองหั่น
ถั่วงอก ต้นหอม
ผักชีซอย
กระเทียมเจียว
พริกทอด


**ตำมะเขือยาว**



++เครื่องปรุง++
มะเขือยาวเผา 2 ถ้วย
พริกหนุ่มเผา 3 เม็ด
หอมแดงเผา 5-6 หัว
กระเทียมเผา 2 หัว
กะปิเผา 1 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ใบสะระแหน่ 7 ยอด
ใบแมงลัก 7 ยอด
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ต้มสุก 3 ฟอง
++วิธีทำ++
1 โขลกพริกหนุ่มเผา เกลือ หอมแดงเผา กะปิเผา ให้ละเอียด
2 ใส่มะเขือลงโขลกให้เข้ากัน
3 เจียวกระเทียมที่สับไว้พอหอม
4 นำมะเขือที่โขลกไว้ลงผัดสัก 2 - 3 นาที
5 ตักใส่จานโรยด้วยใบสะระแหน่ ใบแมงลัก และไข่ต้มหั่นเป็นซีก
                                                          


                                                                ไส้อั่ว





การทำไส้อั่ว


เริ่มจากนำพริก หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ รากผักชี เกลือ ขมิ้น กะปิ ( บางทีก็ใส่ดีปลีป่นด้วย ) มาโขลก

จนละเอียด นำเนื้อหมูมาสับให้ละเอียดแล้วนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงให้เข้ากัน หั่นต้นหอมผักชีโรย

เข้าไปด้วย 

เสร็จแล้วเอาไส้ ( ไม่ใช่ไส้อ่อน ) ซึ่งล้างให้สะอาดและเคล้าใบตระไคร้ให้หายกลิ่นคาวแล้ว 

เอาเนื้อหมูที่เคล้ากับน้ำพริกแล้วนั้นยัดลงไปให้เต็มพอสมควร อย่าให้แน่นเกินไป เพราะเวลาที่นำเอาไป

ปิ้ง อาจจะทำให้ไส้แตกไม่สวยงาม 

เมื่อยัดไส้แล้ว ผูกหัวผูกท้ายขดเป็นวงกลม นำไปย่างบนถ่านไฟอ่อน ๆ ต้องคอยระวังอย่าให้ไหม้ เมื่อ

สุกแล้วอาจหั่นเป็นท่อนสั้น ๆ หรือเป็นชิ้น ๆ พอคำรับประทานได้




                                                        ข้าวซอย




เครื่องปรุง



บะหมี่เหลือง                                1-2                          ห่อ

ชีอ๊วดำ                                          2                          ช้อนโต๊ะ

สะโพกไก่หรือเนื้ออื่นๆ                   10                           ชิ้น

น้ำมันที่จะทอด                                                            พอประมาณ

พริกป่นผัดน้ำมัน                                                         พอประมาณ

เกลือป่น                                    1-2                            ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วขาว                                       1                            ถ้วยตวง

น้ำมะนาว                                                                   พอประมาณ


เครื่องปรุงของแกง


พริกแห้งคั่ว                                 7                             เม็ด

หัวหอมคั่ว                               3-4                             ถ้วยตวง

เมล็ดชะโก                                 9                              ลูก

ขิงซอยคั่ว                              1-4                              ถ้วยตวง

เกลือป่น                                 1-2                              ช้อนโต๊ะ

ขม้นซอยคั่ว                              3                               ช้อนโต๊ะ

หมายเหตุ: นำทุกอย่างมาตำให้เข้ากันให้หมด


เครื่องปรุงผักดอง


ผักดองเฉพาะก้าน                      1                               กิโลกรัม

เกลือป่น                                    2                               ช้อนโต๊ะ

หอมแดงหั่นเป็นสี่เหลี่อม              5                               ขีด

น้ำส้มสายชู                               3                               ถ้วยตวง

น้ำตาลทาย                            1-4                               ถ้วยตวง

หมายเหตุ :   ผสมน้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชูเข้าด้วยกัน  ตั้งไฟให้เดือดเอาน้ำตาลลงไปแล้วก้รอให้น้ำตาลละลาย  แล้วก็ยกลงให้อุ่น ใส่ผักกาดดองหอมแดง แล้ว  หมักทั้งไว้  1คืน


  วิธีการทำข้าวซอย



1ล้างเนื้อที่เราต้องการที่จะทำเป็นข้าวซอยมาล้างให้สะอาด

2.คั้นมะพร้าว ใช้หัวกะทิ  7 ถ้วยตวง  หางกระทิ  18 ถ้วยตวง

3.ใส่หาวกระทิลงไปในหม้อต้ม  จากนั้นใส่เกลือลงไป 3 ช้อนชา ตั้งไฟอ่อน ๆ  เดือดก็ใส่เนื้อไก่หรือว่าเนื้อที่เราต้องการลงไป แล้วเคี่ยวให้กระทิแตก  และให้เนื้อหนุ่มสุก

4.ใส่น้ำมันพอประมารลงในกระทะ แล้วใส่หัวกระทิ   1  ถ้วยตวงตามลงไปผัดให้แตกเล็กน้อย ใส่เครื่องแกงที่โครกไว้ผัดให้หอม แล้วก็ตักใส่หม้อที่ต้มที่เราเครื่องไว้ก่อนหน้านี้ แล้วจัดการคนให้เข้ากัน

5.ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและดำ สูตรไหนก็ได้แล้วใส่หัวกะทิตามลงไปอีก ชิมรสชาติ หากจืดไปก้ใส่เกลือที่เหลือลงไป แล้วเคี่ยวต่อไปจนเดือดแล้วยกลง

6.ใส่น้ำมันลงไปในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใชไฟกลางๆแต่คอนข้างแรง

7.แบ่งบะหมี่ลงทอดทีละน้อยแล้วทอดให้กรอบเหลือง ทอดราว  7- 8 ก้อน แล้วตักขึ้น

8.จากนั้นก็นำทุกอย่างราดลงเข้าด้วยกัน แล้วก็ออกมาเป็นข้าวซอยแล้ว


วิธีการเสิร์ฟ

นำบะหมี่  1- 2 ก้อนที่เราทอดไว้ ใส่ชาม ตั้งเครื่องข้าวซอยลงไปในชาม แล้วก็เสิร์ฟพร้อมกับผักกาดดอง มะนาว และพริกป่นแค่นี้ก็พร้อมทานแล้ว



น้ำพริกหนุ่ม


ส่วนผสมหลัก

พริกหนุ่ม 140 กรัม
มะเขือเทศสีดา 50 กรัม
กระเทียม 15 กรัม
หอมแดง 20 กรัม
ปลาร้าสับ 15 กรัม
เกลือป่น 5 กรัม
ต้นหอมหั่นหยาบ 15 กรัม
ผักชีหั่นหยาบ 15 กรัม
ใบตอง
* 30 grams = 1oz. , 1kilogram = 2.24 lbs.

วิธีทำ
ล้างพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม มะเขือเทศให้สะอาด นำไปย่างไฟ ลอกเปลือกออกให้หมด
เช็ดใบตองให้สะอาด ใส่ปลาร้าสับลงในใบตอง นำไปย่างไฟให้หอม
โขลกพริก หอมแดง กระเทียม เกลือ เข้าด้วยกัน ใส่ปลาร้า มะเขือเทศ โขลกให้ละเอียด
ตักใส่ถ้วย ใส่ต้นหอมผักชี รับประทานกับแคบหมู และข้าวเหนียว




แกงแคไก่

ส่วนผสมหลัก
ไก่หั่นบาง 400 กรัม
ชะอมเด็ดสั้นๆ 35 กรัม
ใบชะพลูหั่นหยาบ 25 กรัม
ใบกระเพราขาว 20 กรัม
ใบตำลึง 30 กรัม
ผักชีฝรั่ง 10 กรัม
ผักขี้หูด 20 กรัม
ใบพริก 15 กรัม
มะเขือเปราะ 75 กรัม
บวบ 100 กรัม
หน่อไม้ 50 กรัม
ถั่วฝักยาว 80 กรัม
มะเขือพวง 60 กรัม
น้ำมัน 30 กรัม
น้ำ 750 กรัม

ส่วนผสมเครื่องแกง
พริกแห้ง 7 เม็ด
กระเทียม 1 หัว
ปลาร้า 7 กรัม
เกลือป่น 5 กรัม
ตะไคร้ 1 ต้น
หอมแดง 15 กรัม
กะปิ 10 กรัม
* 30 grams = 1oz. , 1kilogram = 2.24 lbs.

วิธีทำ
วิธีทำเครื่องแกง
โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด
ปอกเปลือกบวบ ล้างมะเขือเปราะ ถั่วฝักยาวหั่นชิ้นพอดีคำ
ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่ไก่ รวนให้สุก ตักขึ้นพักไว้
ใส่น้ำมันในกระทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ใส่ไก่และหน่อไม้ผัดให้เข้ากัน
ใส่น้ำลงในหม้อ ตักไก่และหน่อไม้ที่ผัดไว้ใส่ ตั้งไฟให้เดือดใส่ถั่วฝักยาวและมะเขือพวง
ใส่มะเขือเปราะ ตำลึง ผักขี้หูด ใบชะพลู ใบพริก ใบกระเพรา ผักชีฝรั่ง ชะอม คนให้เข้ากันจนผักสุก



อาหารภาคกลาง

ห่อหมกปลา
ส่วนผสมหลัก

เนื้อปลาช่อน 400 กรัม
มะพร้าวขูด 200 กรัม
แป้งข้าวเจ้า 5 กรัม
ไข่ 1 ฟอง
ใบยออ่อน 20 ใบ
ใบมะกรูดหั่นฝอย 30 กรัม
ผักชีซอย 16 กรัม
พริกชี้ฟ้าแดงซอย 1 เม็ด
น้ำปลา 15 กรัม
ใบตองสำหรับทำกระทง

ส่วนผสมเครื่องแกง

พริกแห้ง 5 เม็ด
กระเทียม 3 หัว
ข่าซอย 16 กรัม
กระชาย 8 กรัม
ตะไคร้ 16 กรัม
ผิวมะกรูด 8 กรัม
รากผักชีซอย 8 กรัม
พริกไทย 5 เม็ด
เกลือป่น 3 กรัม
กะปิ 5 กรัม
* 30 grams = 1oz. , 1kilogram = 2.24 lbs.

วิธีทำ
วิธีทำเครื่องแกง

โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด
แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ
คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิ 2 ถ้วย แบ่งกะทิไว้ 1 ถ้วย ใส่แป้งข้าวเจ้าลงในหัวกะทิคนให้ละลาย นำไปต้มจนเดือด ใช้ราดหน้าห่อหมก
กะทิ 1 ถ้วย คนกับเครื่องแกงให้เข้ากัน ใส่ปลา ไข่ น้ำปลา คนให้เข้ากัน
ใส่ใบโหระพา ผักชี คนให้เข้ากัน
เย็บกระทงใบตองรองด้วยใบยอ ตักส่วนผสมห่อหมกปลาใส่กระทง นำไปนึ่งจนสุก ราดหน้าด้วยหัวกะทิ โรยด้วยหั่นฝอย และพริกชี้ฟ้าแดง นึ่งต่ออีก 3 นาที


แกงเผ็ดเป็ดย่าง

ส่วนผสมหลัก

เป็ดย่าง 1 ตัว
มะเขือเทศสีดา 200 กรัม
มะอึกห่ามเอาขนออก 13 ลูก
มะพร้าวขูด 500 กรัม
พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง 1 เม็ด
โหระพาเด็ดเป็นใบ 5 กรัม
ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
น้ำตาลทราย 6 กรัม
น้ำปลา 10 กรัม
ระกำ 30 กรัม

ส่วนผสมเครื่องแกง

พริกแห้ง 5 เม็ด
หอมแดง 20 กรัม
กระเทียม 5 กรัม
ข่าหั่นละเอียด 5 กรัม
ตะไคร้ 12 กรัม
ผิวมะกรูด 4 กรัม
รากผักชี 8 กรัม
ลูกผักชี 5 กรัม
ยี่หร่า 5 กรัม
พริกไทยเม็ด 5 กรัม
เกลือป่น 3 กรัม
กะปิ 3 กรัม
* 30 grams = 1oz. , 1kilogram = 2.24 lbs.

วิธีทำ
วิธีทำเครื่องแกง

โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด
คั้นมะพร้าวให้ได้หัวกะทิครึ่งถ้วย หางกะทิ 3 ถ้วย
เลาะกระดูกเป็ดย่างออก หั่นเป็นชิ้นพอคำ ขนาด 1x1 นิ้ว
เคี่ยวหางกะทิ กับกระดูกคอ ปีก ข้อต่อจนเปื่อย
ล้างมะเขือเทศให้สะอาด
ใส่หัวกะทิลงในกระทะ ตั้งไฟให้แตกมัน ใส่เครื่องแกงผัดให้หอม ใส่เนื้อเป็ดลงผัด แล้วตักใส่ในหม้อเป็ดที่เคี่ยวไว้ ตั้งไฟปานกลาง ใส่ใบมะกรูด
ใส่มะเขือเทศ มะอึก ใบโหระพา พริกชี้ฟ้า และระกำ ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา



หมี่กะทิ

ส่วนผสมหลัก

เส้นหมี่แช่น้ำพอนุ่ม 200 กรัม
เนื้อหมูหั่นชิ้นเล็ก 150 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เต้าหู้เหลืองหั่นชิ้นเล็ก 100 กรัม
มะพร้าวขูด 250 กรัม
ถั่วงอก 300 กรัม
ใบกุยช่ายหั่นท่อนเล็ก 20 กรัม
ผักชี 2 ต้น
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย 2 เม็ด
พริกป่น 5 กรัม
หอมแดงสับละเอียด 25 กรัม
น้ำตาลทราย 24 กรัม
เต้าเจี้ยว 65 กรัม
น้ำมะขามเปียก 30 กรัม
น้ำมัน 10 กรัม
* 30 grams = 1oz. , 1kilogram = 2.24 lbs.

วิธีทำ

คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิ 2 ถ้วย
ใส่น้ำมันในกระทะเล็กน้อย ต่อยไข่ใส่ชาม ตีพอเข้ากันเทใส่ในกระทะ กรอกไข่ไปมาจนเป็นแผ่นบาง พอสุกม้วนให้เป็นแท่งกลม ตักขึ้นแล้วหั่นฝอย
ใส่กะทิในกระทะ ตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนแตกมันเล็กน้อย ใส่หอมแดง ไก่ เต้าเจี้ยว น้ำตาล น้ำมะขามเปียก เต้าหู้ พริกป่น ผัดให้เข้ากัน ตักแบ่งไว้ครึ่งหนึ่ง สำหรับราดหน้า
ใส่เส้นหมี่ลงในกระทะที่มีกะทิเหลืออยู่ ใส่ถั่วงอก ใบกุยช่าย ผัดให้เข้ากันจนสุก ตักใส่จาน ราดหน้าด้วยส่วนผสมที่แบ่งไว้ โรยผักชี พริกชี้ฟ้า และไข่เจียว รับประทานกับถั่วงอก กุยช่าย หัวปลี ใบบัวบก



**แกงเลียง**

    

**เครื่องปรุง**
กุ้งชีแฮ้ปอกเปลือก 1 ถ้วย
ปลาย่างแกะเอาแต่เนื้อ ? ถ้วย
หอมแดง 5 หัว
พริกไทยเม็ด 15 เม็ด
กะปิ 1 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป 3 ถ้วย
ผักต่าง ๆ เช่น ฟักทอง บวบ เห็ด ข้าวโพดอ่อน ใบตำลึง ใบแมงลัก
**วิธีทำ**
1. ล้างผักให้สะอาด ปอกเปลือกฟักทอง บวบ หั่นชิ้นพอคำ เด็ดใบอ่อน ตำลึง แมงลัก เฉือนโคนสกปรกของเห็ดออก หั่นเห็ด ข้าวโพดอ่อน
2. บุบพริกไทย โขลกกับปลาย่างให้ขึ้นฟู ใส่หอม กะปิ โขลกให้เข้ากัน
3. ใส่น้ำซุปลงในหม้อ ตั้งไฟพอเดือด ใส่เครื่องที่โขลก ต้มให้เดือด
4. ใส่ผักต่าง ๆ โดยเริ่มจาก ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน บวบ เห็ด พอเดือดดี ใส่กุ้ง ใบตำลึง ในแมงลัก น้ำปลา ชิมรส ปิดไฟ

**น้ำพริกปลาทู**


  

**เครื่องปรุง**
ปลาทูนึ่ง (ขนาดกลาง) 3 ตัว
พริกขี้หนูสดเม็ดใหญ่สีแดง 2 ขีด
กระเทียม 1 ขีด
หัวหอมแดงไทย 1 ขีด
น้ำเปล่าสะอาด 60 ช้อนโต๊ะหรือ 1 ลิตร
น้ำปลาแท้อย่างดี 12 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 9 ช้อนโต๊ะ 

**วิธีทำ**

1. เด็ดก้านพริกขี้หนูออก ปอกหัวหอม กระเทียมและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ล้างให้สะอาดผึ่งให้สะเด็ดน้ำ เพื่อเวลาคั่วจะได้สุกง่าย

2. ทอดปลาทู โดยใช้ไฟปานกลาง ทิ้งให้เย็น แกะเอาแต่เนื้อ

3. นำกระทะตั้งบนเตาไฟร้อน โดยใช้ไฟปานกลางใส่พริกขี้หนูสด หัวหอม กระเทียม คั่วรวมกัน จนทุกอย่างสุก

4. ตักใส่ครกตำ ขณะที่ยังร้อนอยู่จะทำให้ตำง่าย ให้ตำจนเกือบละเอียด

5. ใส่ปลาทูตำต่อไปจนละเอียด และส่วนผสมเข้ากัน

6. ตักส่วนผสมที่ตำแล้วทั้งหมดใส่หม้อ ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำเปล่า คนให้ละลาย ตั้งบนเตา ใช้ไฟปานกลางจนน้ำพริกเดือด ยกลงจากเตา รับประทานกับผักต้ม เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วพู
**ข้อแนะนำ**

1. ถ้ารับประทานน้ำพริกไม่หมดให้ใช้อุ่นบนเตา โดยใช้ไฟอ่อน ๆ จะเก็บไว้รับประทานต่อได้หลายวันค่ะ

2. ถ้าใส่น้ำตามสูตรอาจมากไปให้ลดลงบ้างเพราะขนาดปลาทูที่ใช้อาจมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเนื่องจากเนื้อปลาจะฟู เวลาใส่น้ำต้องค่อย ๆ ใส่อย่าให้น้ำพริกใสมากไป ถ้าใส่ไปแล้วจนน้ำพริกใสก็ให้เคี่ยวจนข้นเล็กน้อย


แกงเขียวหวานไก่
อาหารไทย : แกงเขียวหวาน

เครื่องปรุง


* เนื้อไก่ 350 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็ก พอดีคำ)
* กะทิ 1 1/4 ถ้วยตวง
* ใบโหระพา 1/4 ถ้วยตวง
* มะเขือเปราะ 2 ลูก (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ)
* น้ำุซุปไก่ 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำตาลทรายธรรมดา)
* น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
* พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด (หั่นเฉียง)
* ใบมะกรูด 4 ใบ

  วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ตั้งกะทิ 1/2 ถ้วยตวง (กระทิส่วนที่เหลือไว้ค่อยใช้ในขั้นตอนต่อไป) บนกระทะจนร้อน (ใช้ไฟปานกลาง) คนจนกระทิเดือดประมาณ 3 - 5 นาที จากนั้นใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไปผัดกับกระทิสักพักจนน้ำกระทิงวดลง จึงเทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใหญ่
2. นำหม้อใบใหญ่ตั้งไฟปานกลาง ใส่เนื้อไก่และคนประมาณ สอง นาที จากนั้นใส่น้ำปลา, น้ำตาล คนต่อไปอีก 1 นาที ใส่มะเขือเปราะที่หั่นไว้แล้ว ใส่น้ำกระทิที่เหลือและใส่น้ำซุปไก่ ต้มต่อไปสักพักจนเนื้อไก่เริ่มสุก และมะเขือเปราะนิ่ม
3. ใส่ใบมะกรูดและใบโหระพา รอจนเดือด จากนั้นจึงปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเสิรฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ และพริกน้ำปลา
หมายเหตุ : แกงเขียวหวานนอกจากจะนิยมรับประทานกับข้าวสวยแล้ว ยังนิยมทานกับขนมจีนอีกด้วย . . .


แกงมัสมั่นเนื้อ


แกงมัสมั่นเนื้อ

เครื่องปรุง

* เนื้อวัว 400 กรัม (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
* กะทิ 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
* หอมใหญ่ 2 ลูก (หั่นเป็นชิ้นขนาดกลาง)
* มันเทศ 1 ถ้วยตวง (ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ)
* น้ำมะขาม 1 ช้อนโต๊ะ
* อบเชย 1 แท่ง
* มะม่วงหิมพานต์ 1/4 ถ้วยตวง
* ลูกกระวาน 1 ช้อนชา
* ใบกระวาน 2 ใบ
(นอกจากเนื้อวัว สามารถใส่เนื้ออื่นได้เช่น ไก่, แกะ,ฯลฯ)


     วิธีทำทีละขั้นตอน
   1. นำกะทิและน้ำพริกแกงมัสมั่นไปตั้งบนไฟอ่อน คนจนเครื่องแกงเริ่มแตกมัน (ประมาณ 5 นาที)
    2. ใส่เนื้อวัวและคนต่อไปอีกสักพัก เติมน้ำลงไปพอท่วมเนื้อ
     3. ใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด ยกเว้นมัน, หอมใหญ่ และมะม่วงหิมพานต์ ตุ๋นด้วยไฟอ่อนต่อไปอีกประมาณ 40 นาที จนกระทั่งเนื้อนุ่ม
    4. ใส่มัน, หอมใหญ่ และมะม่วงหิมพานต์ และตุ๋นต่อไปอีกประมาณ 30 นาที ระหว่างตุ๋นนี้ถ้าน้ำแห้งสามารถเติมน้ำลงไปได้ เสร็จแล้วตักใส่ถ้วย และเสิรฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ หรือ แผ่นแป้งโรตี


อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคอีสาน)

ส้มตำ




เครื่องปรุง 
มะละกอสับตามยาว1 ถ้วย (100 กรัม)
มะเขือเทศสีดา3 ลูก (30 กรัม)
มะกอกสุก1 ลูก (5 กรัม)
พริกชี้หนูสด10 เม็ด (15 กรัม)
กระเทียม10 กลีบ (30 กรัม)
น้ำมะนาว1-2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
น้ำปลา (ตามชอบ)
น้ำปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
ผักสด ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ยอดปักบุ้ง ยอดและฝักกระถิน ยอดมะยม ไก่ย่าง แคบหมู

วิธีทำ 
1. โขลกกระเทียม พริกขี้หนู พอแตก
2. ใส่มะละกอ มะเขือเทศผ่าซีก ฝานมะกอกเป็นชิ้นบางใส่ลงโขลกเข้าด้วยกัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำมะนาว โขลกเบาๆ พอเข้ากันชิมตามชอบ รับประทานกับผักสด


แจ่วหรือ น้ำพริก





เครื่องปรุง 
รากผักชี
ตะไคร้เผาพอหอม
ปลาร้าสับละเอียด
น้ำมันพืช(ไม่ใช้ก็ได้-ใช้น้ำเปล่าแทนได้)
น้ำมะขามเปียก-ข้น
ข่าเผาซอย
พริกป่น ปลาป่น
น้ำปลา
น้ำตาลทราย
ผักสดตามชอบ

วิธีทำ 
1.โขลกรากผักชี ตะไคร้ ข่าให้ละเอียดใส่กระเทียม หอม โขลกต่อให้ละเอียดใส่พริกป่นปลาร้า โขลกต่อให้เข้ากัน
2. ตั้งกระทะไฟอ่อนใส่น้ำมันพร้อมใส่ส่วนผสมผัดใส่น้ำปลาร้าน้ำ มะขามเปียกน้ำตาลผัดจนหอมจึงตักขึ้นรับประทานกับผักสดผักนึ่ง ถ้าไม่ชอบปลาร้าใส่น้ำปลาก็ได้
เคล็ดลับ 
ควรใช้ปลาร้าที่เนื้อแน่นๆ

อ่อมขี้เหล็ก



เครื่องปรุง 
- ใบขี้เหล็กอ่อนต้ม 3 ถ้วยแกง 
- เอ็นวัวต้มเปื่อย 1/2 ถ้วยแกง 
- น้ำปลา 3 ช้อนแกง 
- น้ำปลาร้า 3 ช้อนแกง 
- ชะอม 1/2 ถ้วยแกง 
- ใบแมงลัก 1ถ้วยแกง 
- หอมสด 3-4 ต้น 
- ข้าวเบือ 1/2 ถ้วย 
- น้ำใบย่านางข้น 3ถ้วย 
- ใบมะกรูด 3-4ใบ และ หอมแดงแห้ง กระเทียม หอมดแงแห้งเผา ตระไคร้ ข่า พริกสด กระเทียมเผา 

วิธีทำ 

- ใบขี้เหล็กอ่อนล้างน้าให้สะอาด นำเอาใบอ่อนและยอดหรือดอกไปต้มให้หายขมประมาณสองครั้งแล้วบีบน้ำออก 
- โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด หอมแห้งกระเทียมนำมาเผาแล้วปลอกเปลือก 
- ข้าวสารแช่น้ำ โขลกร่วมกับใบย่านางละลายน้ำคั้นให้ข้นๆ 3 ถ้วยแกง 
- นำใบย่านางต้มใส่เครื่องแกงที่โขลก และหัวหอมที่เผา ใส่ขี้เหล็กน้ำปลาน้ำปลาร้าเอ็นวัวเนื้อวัวต้มเปื่อย ข้าวเบือพอเดือด ใส่ชะอม ใบแมงลักหอมสด ปิดฝารอรับประทาน 


ข้อควรทราบ 
- ใช้หมูไก่ ปลาแทนเนื้อวัวหรือไม่ใส่เนื่อเลยก็ได้ 
- การต้มใบขี้เหล็กควรใช้ไฟแรง เวลาต้มไม่ต้องคนพอเดือดรีบเทน้ำทิ้งแล้วต้มใหม่สองครั้ง 
- ถ้าแกงขี้เหล็กแบบมันใช้ กะทิแทนย่านาง ใส่เครื่องแกงเผ็ดแทนพริกสด 
- บางที่นิยมใช้หนังที่ตากแห้งแล้วเอาไปเผาให้สุก แล้วต้มพร้อมกับต้มขี้เหล็กแทนเนื้อต่างๆ 
- ข้าวเบือ คือ ข้าวเหนียวที่แช่น้ำไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงแล้วนำมาโขกให้ละเอียด


ลาบปลาดุก


เครื่องปรุง 
ปลาดุกอุยหนักประมาณ 300 กรัม 1 ตัว 
ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม) 
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม) 
ข่าโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม) 
ใบมะกรูดหั่นฝอย 2 ช้อนชา (15 กรัม) 
ต้นหอมซอย 2 ช้อนชา (15 กรัม) 
หอมแดงฝอย 2 ต้น (10 กรัม) 
ใบสะระแหน่ 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม) 
น้ำมะนาว ? ถ้วย (50 กรัม) 
น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม) 
ผักสด กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ใบโหระพา

วิธีทำ 
1. ล้างปลาดุกให้สะอาด ขูดเมือกบนผิวออก นำไปย่างไฟพอสุก แกะเอาแต่เนื้อ สับหยาบๆ 
2. เคล้าเนื้อปลาดุกกับข้าวคั่ว พริกป่น ข่าหั่นฝอย หอมแดงซอย ใบมะกรูดหั่นฝอย 
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว คลุกเคล้ากันให้ทั่ว โรยใบสะระแหน่ ต้นหอมซอย ชิมรสตามชอบ รับประทานกับกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ใบโหระพา



อาหารภาคใต้



ข้าวยำ
เครื่องปรุง 
ข้าวสวย 1 ถ้วย
กุ้งแห้งป่น 1 ถ้วย
มะพร้าวหั่นฝอยคั่วจนเหลืองกรอบ 1 ถ้วย
พริกขี้หนูคั่วป่น 2 ช้อนชา
ผัก
ถั่วงอกเด็ดหาง 1 ถ้วย
ตะไคร้หั่นฝอย3 ต้น
ใบมะกรูดหั่นฝอย ครึ่ง ถ้วย
มะม่วงดิบสับหั่นเส้นเล็ก3/4 ถ้วย
ถั่วฝักยาวหั่นฝอย 1 ถ้วย
มะนาว 1 ลูก

เครื่องปรุงน้ำบูดู 
น้ำบูดู 1/2 ถ้วย
น้ำ 1 ครึ่ง ถ้วย
ปลาอินทรีย์เค็ม 1 ชิ้น
น้ำตาลปีบ 1 ถ้วย
หอมแดงบุบพอแตก 1 ครึ่ง ถ้วย
ตะไคร้หั่นท่อนสั้น 1 ต้น
ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ
ข่ายาว 1 นิ้ว บุบพอแตก 1 ชิ้น

วิธีทำ 
1.ทำน้ำบูดู โดยการต้มปลาอินทรีจนเปื่อย แกะเอาแต่เนื้อใส่หม้อ เติมน้ำบูดู น้ำ แล้วตั้งไฟ
2.ใส่หอม ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูดฉีก น้ำตาลปีบ ต้มต่อจนน้ำบูดูข้น ชิมให้มีรสเค็มนำ หวานตาม ยกลง
3.จัดเสิร์ฟโดย ตักข้าวใส่จาน ใส่มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้งป่น และผักทั้งหมด ใส่อย่างละน้อย พอคลุกรวมกันแล้วจะมากยิ่งขึ้น ราดน้ำบูดู ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เคล้าให้เข้ากันดี รับประทานได้



น้ำพริกมะม่วงเบา

เครื่องปรุง 
มะม่วงเบา 4 ลูก
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสด 20 เม็ด
กะปิ 2 ช้อนชา
หอมแดง 2 หัว
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วิธีทำ 
1.ล้างมะม่วงให้สะอาด ปอกเปลือก และสับเป็นเส้นๆ ใส่เกลือป่น คั้นมะม่วงน้ำเปรี้ยวออก ล้างน้ำ ใส่กระชอนไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2.โขลกพริกขี้หนูพอแตก ใส่กะปิ หอมแดง น้ำตาล โขลกให้เข้ากันไม่ต้องละเอียด
3.ใส่กุ้งแห้ง มะม่วง ใช้ช้อนเคล้าจนเข้ากันดี
4.เสิร์ฟพร้อมผักเหนา


ปลากระบอกต้มส้ม

เครื่องปรุง 
ปลากระบอกตัวใหญ่ 2 ตัว
เกลือป่น 3 ช้อนชา
ตะไคร้หั่นทุบ 2 ต้น
หอมแดงบุบ 3 หัว
กระเทียมบุบ 3 หัว
น้ำส้ม 1/3 ถ้วย
ขมิ้นทุบ 2 ซ.ม.

วิธีทำ 
1.ล้างปลาให้สะอาด ควักไส้ทิ้ง
2.เอาน้ำ 2 ถ้วยตั้งไฟ พอเดือดใส่ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ขมิ้น
3.พอเดือดอีกครั้งใส่น้ำส้ม เกลือ แล้วจึงใส่ปลา
4.พอปลาสุกดีแล้วจึงปิดไฟ ยก


ไก่กอแหละ

เครื่องปรุง 
ไก่อ้วนๆ 1 ตัว
มะพร้าวขูด 100 กรัม
เนย 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก หรือน้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง 
พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
ลูกผักชีคั่วป่น 1/4 ช้อนชา
ลุกยี่หร่าคั่วป่น 1/4 ช้อนชา
อบเชยป่น 1/4 ช้อนชา
หอมแดง 2 หัว
ขมิ้นสดหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
กะปิ 1 ช้อนชา
โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด

วิธีทำ 
1.คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 2-2ครึ่ง ถ้วย คั้นให้ได้ 5-6 ถ้วย
2.ล้างไก่ หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ ตัวหนึ่งประมาณ 10-12 ชิ้น ทอดด้วยเนย และน้ำมัน พอเหลืองตักไก่ใส่กะทิ ตั้งไฟกลาง พอเดือดลดไฟลง เคี่ยวไฟอ่อนๆ
3.เอาเครื่องแกงลงผัดในน้ำมันที่เหลือจากการทอดไก่ แล้วใส่ลงในหม้อไก่ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล ให้ได้รสตามชอบ พอไก่เปื่อย ยกลง จัดเสิร์ฟ โรยพริกชี้ฟ้าแดง ให้สวยงาม


เนื้อคั่วกลิ้ง

เครื่องปรุง 
เนื้อวัว 500 กรัม
ใบมะกรูดหั่นฝอย 5 ใบ
เครื่องแกง
ตะไคร้หั่นฝอย 3 ต้น
กระเทียม 2 หัว
หอมแดง 5 หัว
ข่าหั่น 7 แว่น
ขมิ้นหั่น 1 นิ้ว
ผิวมะกรูดซอย ครึ่ง ลูก
เกลือป่น 2 ช้อนชา
พริกขี้หนูแห้ง 50 เม็ด
พริกไทยเม็ด 3 ช้อนโต๊ะ
โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด

วิธีทำ 
1.ล้างเนื้อวัว หั่นเป็นชิ้นเล็กบาง
2.เอากระทะตั้งไฟอ่อน ใส่เนื้อลงผัดจนเนื้อแห้ง
ใส่เครื่องแกงลงผัดต่อ จนเนื้อเข้ากันเครื่องดี ปิดไฟ โรยใบมะกรูดอ่อน เสิร์ฟพร้อมผักเหนาะ

      แกงไตปลา  

    เครื่องปรุง
  1. กะปิ
  2. ปลาย่าง
  3. พุงปลาที่หมักได้ที่แล้ว
  4. น้ำ เกลือ น้ำตาล ใบมะกรูด มะนาว
  5. ผักสด เช่น มัน ฟักทอง มะเขือเทศต่างๆ หน่อไม้
  6. เครื่องแกงมีพริกแห้ง หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า พริกไทย ขมิ้น นำมาโขลกให้ละเอียด
     
       วิธีทำ
  1. นำพุงปลามาทำให้สะอาดโดยเอาขี้ปลาออกให้หมด
  2. นำพุงปลาที่สะอาดแล้วมาซาวด้วยเกลือพอประมาณ
  3. นำพุงปลาซาวเกลือใส่ขวดแก้วหรือใส่กระปุก ปิดฝาให้มิดชิดทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์
  4. เปิดออกดูจะได้กลิ่นหอมเปรี้ยว นำไปแกงได้ชนิดของพุงปลา
     * พุงปลาช่อนนำมาทำเป็นไตปลา ให้รสชาติหอมมันอร่อยมากที่สุด พุงปลากระดี่
ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า ขี้ดี  ให้รสชาติขมหอมอร่อยมาก   พุงปลาโดยทั่วไปจะทำจาก
ปลาทูหรือปลารัง *

      วิธีปรุง
  1. นำพุงปลาตั้งไฟให้เดือด เทกรองเอาเฉพาะน้ำ เติมน้ำตามสมควรตั้งไฟให้เดือด
  2. ใส่เครื่องแกง เดือดได้ที่เติมเครื่องปรุง น้ำตาล น้ำมะนาว กะปิ
  3. ใส่ปลาย่าง ผักสด